Top

ผู้แสวงหาโชคลาภ

คาซิม

การอบรบเลี้ยงดูแบบก็อบลินดั้งเดิมที่คาซิมได้รับมาตั้งแต่เด็กได้ปลูกฝังความเชื่อหลักสองประการในชีวิตของเขา หนึ่งคือการให้ค่าสมบัติเหนือสิ่งอื่นใด และสองคือการพยายามไขว่คว้ามันมาอย่างไม่หยุดยั้ง ดังนั้นคาซิมจึงได้ฝึกปรือฝีมือในศิลปะการโจรกรรมหลุมฝังศพตั้งแต่อายุยังน้อย และคอยฟังข่าวลือเกี่ยวกับสมบัติอยู่เสมอ เมื่อใดก็ตามที่เขาได้ยินข่าวว่ามีสมบัติอยู่ที่ไหน เขาจะลองไปเสี่ยงโชคดูที่นั่น

ในบรรดาศัตรูจำนวนนับไม่ถ้วนของคาซิมที่มีอยู่ทั่วออเรลิก้า กลุ่มผู้ค้าขายที่ทำการค้าอยู่รอบทะเลทรายไคซัสคงเป็นกลุ่มคนที่เกลียดขี้หน้าเขามากที่สุด เพราะกลุ่มหัวขโมยก็อบลินที่กำลังขยายตัวของเขาคอยดักปล้นคนตามเส้นทางไปเรื่อย และทำลายความเชื่อมั่นของผู้พิทักษ์ นอกจากนี้คาซิมเป็นเพียงโจรที่เก่งที่สุดของกลุ่มโจรที่เต็มไปด้วยหัวขโมยมากความสามารถที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษเท่านั้น ความเชี่ยวชาญเหล่านี้ครอบคลุมถึงการขุดอุโมงค์ใต้ดินและการผลิตระเบิด ด้วยเหตุนี้ คาซิมและกลุ่มโจรของเขาจึงสามารถเก็บรวบรวมทรัพย์สมบัติได้มากมายมหาศาลภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี

ในไม่ช้า กลุ่มของคาซิมได้กลายเป็นกลุ่มที่โดดเด่นและร่ำรวยที่สุดภายในดินแดนก็อบลิน พวกเขาร่ำรวยพอที่จะบังคับแม้กระทั่งกูเบค ซึ่งควรเป็นหัวหน้าของพวกเขาให้ร่วมมือกับพวกเขา ทว่าคาซิมไม่ใช่คนโง่ และตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่ากูเบคนั้นเป็นคนขี้ขลาดและการพึ่งพาอสูรฮอเรซมากเกินไปทำให้สถานะการปกครองของเขาไม่แข็งแกร่งนัก เมื่อรู้ดังนี้ คาซิมจึงเริ่มวางแผนร่วมกับกลุ่มอื่น ๆ ของไคซัส เพื่อหาทางขึ้นเป็นผู้นำโดยชอบธรรมของก็อบลิน

Want my gold?

...When you pry it from my cold, dead hands.

อสูรเพลิง

แกร์เรล

นับเป็นเวลาที่ผ่านมาเนินนานแล้วนับตั้งแต่ที่ชาวบันทัส ผู้อาศัยแห่งไคซัส นั้นมีอิทธิพลอำนาจอยู่เหนือยิ่งกว่าทวีปออเรลิกา นับจากพื้นที่อันกว้างขวางของอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ หรือจะเป็นสิ่งปลูกสร้างที่มีโครงสร้างอันตระการตาที่ผสานไว้ด้วยเวทมนตร์ เมื่อวันเวลาผ่านไปกว่าศตวรรษ ที่นี่ยังคงมีวิหารราโมซที่ตั้งตระหง่าน มันเป็นทัศนียภาพภาพที่น่าประทับใจซึ่งช่างเข้ากับพระอาทิตย์อัสดงเหลือเกิน อีกทั้งยังซากปรักหักพังของวิหารต่าง ๆ ของทะเลทรายที่ยังคงเหลืออยู่ ชาวบันทัสในปัจจุบันนั้นมีจำนวนไม่มากนักแล้ว ซึ่งเช่นเดียวกับพวกการ์เรลที่ยังอุทิศตนในการอุปถัมภ์ประเพณีอันโบราณอย่างเงียบสงบจากภายในของวิหารศักดิ์สิทธิ์การ์เรลนั้นนับได้ว่าเป็นผู้สืบทอดประเพณีอีกคนหนึ่งของผู้อาวุโสบันตู ความภาคภูมิใจของเขานั้นมาจากการใช้เวลานับไม่ถ้วนในการฝึกฝนความแข็งแกร่งในการต่อสู้ ทั้งภายในวิหารของตน เมื่อเผชิญหน้ากับภัยพิบัติต่างๆ ที่มองเห็นได้ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ ซึ่งเขานั้นก็สามารถมองทะลุไปถึงแนวทางในการปลดปล่อยพลัง ซึ่งชาวบันทัส เรียกสิ่งนี้ว่า “มาคูน่า” หลายศตวรรษผ่านไป การฝึกอบรมที่เรียนรู้ไปนั้นก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลย เช่นเดียวกับนักรบของอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่แห่งออเรลิกา ในที่สุดแล้วการ์เรลก็ตัดสินใจที่จะยอมปล่อยมือจากอำนาจและพลังที่มีเพื่อสิ่งที่อยู่ในจิตใจของเขา ซึ่งก็คือ – อวตารสี่แขนแห่งไฟและพละกำลังการ์เรลนั้นได้ตื่นขึ้นมาจากการกำเนิดใหม่ในบ่อเพลิงที่โหมลุกท่วม ร่างของเขารายล้อมรอบๆ ตัวด้วยคลื่นพลังแห่งไฟ ซึ่งแผ่ออกมาจากร่างกายที่ดูอ่อนแรง เขาลุกยืนขึ้น ตาลุกเบิกโพลง ผมปลิวพลิ้วไสวราวกับได้รับแรงปะทะอันมหาศาล อีกทั้งด้านหลังเขายังมีใบหน้าที่สะพรึงกลัวของมาคูน่าสี่แขน การ์เรลได้หันไปที่บริเวณเส้นขอบฟ้าของเหนือน้ำ เขานั้นพิจารณาถึงพลังของผู้อวตารที่ลุกไหม้ขึ้นเป็นของตนนั้น ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเขามีกำลังพอที่จะออกไปจัดการกับพวกไคซัส หรือบางทีอาจไปยึดทวีปออเรลิกาเลยก็สามารถทำได้

ไหม้ซะ!

พลังของมาคูน่าไงล่ะ!

ผู้บ้าบิ่นแห่งทะเลทราย

เฮกเตอร์

เฮกเตอร์นั้นอาจเป็นอะไรที่เหนือกว่านักรบ ด้วยความกระหายการต่อสู้โดยสัญชาตญาณ ผู้มุ่งมั่นที่จะกระโจนเข้าสู่สนามรบและหลงใหลในการออกศึกมากกว่าใคร ๆ ด้วยความหลงไหลในการต่อสู้นั้น เฮกเตอร์โค่นอริยอดฝีมือในเผ่าของตนได้ลงอย่างราบคาบก่อนที่เขาจะออกเดินทางเพื่อตามหาคู่ต่อสู้ที่คู่ควรกับฝีมือของตน เส้นทางที่ชักนำให้เขาไปโดยเลี่ยงไม่ได้นั้น ได้นำพาเขาและเหล่าผู้หลงใหลในการรบราฆ่าฟันไปยัง “แดนศักดิ์สิทธิ์” ของเหล่านักรบในสังเวียนเลือดอย่างสมรภูมิรบเลือดนั่นเอง นักรบคนอื่น ๆ จากเผ่าเดียวกันของเฮกเตอร์นั้นมักพูดในทำนองยกย่องถึงยุคอันรุ่งโรจน์และความแข็งแกร่งที่หลากหลายมากมายของเหล่านักรบจากทั่วทั้งออเรลิกา ลานประลองที่ไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่แห่งนี้ หากไม่คำนึงถึงแหล่งที่มาของเรื่องราวแล้ว บางครั้งที่นี่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง การค้าทาส ผู้ถูกเนรเทศ และสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำทั่วไปไม่สามารถหาหนทางอันจะไปสู่รุ่งโรจน์ได้เลย ในที่สุดเฮคเตอร์ก็มาถึงไคซัสหลังจากผ่านไประยะหนึ่งเพื่อค้นหาองค์กรการค้าที่เน้นด้านต้นทุนมากกว่าที่เขาคาดไว้ ความฝันก็คือความฝัน เฮคเตอร์ลงชื่อสมัครใช้ อย่างน้อยตั้งใจที่จะพิชิตผู้ท้าชิงทุกคนที่นี่ เช่นเดียวกับที่เขาทำเพื่อผู้คนของเขาเอง ตำนานใหม่ถือกำเนิดขึ้นในวันนั้น ซึ่งมีความสำคัญมากกว่าเรื่องราวของลานประลองเลือดในบางมุมมอง เพราะหลังจากนั้นไม่นาน เฮคเตอร์ ก็ครองการแข่งขันทั้งหมดและสร้างประวัติศาสตร์ในฐานะแชมป์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดของลานประลอง!

ไม่มีอะไร

หยุดข้าได้!

มาสเตอร์แห่งทะเลทราย

กูเบค

กูเบค หัวหน้าของก๊อบลินทะเลทราย ได้รับตำแหน่งผู้นำนั้นมาจากความฉลาดแกมโกงอย่างไร้ความปราณีและหลักแหลมมากกว่าพี่น้องที่มีแต่ความเจ้าเล่ห์เพียงคนเดียวของตน ซึ่งมีชีวิตหลายชีวิตที่ต้องถูกสังเวยไปกับการเสด็จขึ้นครองอำนาจ
ของกูเบค และนั่นคือวิถีของก็อบลิน ตัวกูเบคนั้นมีข้อได้เปรียบอย่างหนึ่งที่ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขาไม่มี นั่นคือสัตว์เลี้ยงตัวจ้อยที่มีฤทธิ์และพิษเหลือล้นชื่อว่า “ฮอเรซ” โดยกูเบคบังเอิญไปพบกับมันเข้าในถ้ำแมนตาร์ที่อันตรายสุดจะหยั่งในการเดินทางออกล่าสัตว์ที่โชคไม่ค่อยนำพาสักเท่าไหร่นัก แต่โชคดีที่เขารอดพ้นทั้งเอาชีวิตรอดและไข่แมนตาร์ตัวเล็กที่ใกล้จะฟักออกมาได้ และภายหลังมันได้กลายเป็นโฮเรซนั่นเอง

มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะเป็นทรงกลมคล้ายหนอน มีเขาและเกล็ด อาศัยอยู่ทางตอนใต้และตะวันตกของทะเลทราย สิ่งมีชีวิตนี้จะไม่เป็นอันตรายเลยหากไม่ใช่เพราะพิษร้ายแรงที่ซ่อนอยู่หลังเขี้ยว ซึ่งสามารถฆ่าออร์คได้ด้วยการกัดเพียงครั้งเดียว กูเบคเฝ้าดูแลโฮเรซที่กำพร้ามารดาได้เป็นอย่างดีนับตั้งแต่มันถือกำเนิดขึ้นมา และโฮเรซเองผูกพันกับกูเบคเป็นอย่างมากในฐานะสัตว์ผู้คุ้มครองสุดอันตรายของเขา ทำให้กูเบคสามารถไปไหนมาไหนในเขตของตนได้อย่างไม่ระแวงใจ เพราะตามปกติแล้ว ก็อบลินเป็นเผ่าพันธุ์ที่ค่อนข้างไม่จงรักภักดี และอาจต้องขอบคุณฮอเรซที่ทำให้กูเบคดำรงตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มของตนได้เป็นเวลาเนิ่นนานจนแทบไม่น่าเชื่อ”

ข้าสมควรตาย

น้อยกว่าเจ้า!

ขวานแห่งชัยชนะ

เออร์แซคจอมคลั่ง

เออร์แซคเป็นผู้นำที่ไม่น่าเป็นไปได้ในกรณีใด ๆ เลย เออร์แซคพบว่าตัวเองอยู่ในตำแหน่งแม่ทัพของมหากองทัพหลังจากเอาชนะอดีตเพื่อนและหัวหน้าหน่วยรบโอคาอย่างหวุดหวิดในการต่อสู้อย่างสิ้นหวังเพื่อช่วยผู้คนของเขาให้พ้นจากความมืดมิดที่ชั่วร้าย สำหรับพี่น้องของเขา เออร์แซคมีคุณสมบัติของมนุษย์มากเกินไป ความเห็นอกเห็นใจ การเก็บตัวและความไม่เต็มใจที่จะสู้ ทว่าความรักและความห่วงใยที่เขามีต่อกองกำลัง และความกว้างของการมองเห็นไม่สามารถปฏิเสธได้ และด้วยเหตุนี้คุณสมบัติ “ผี” ที่น้อยกว่าของเออร์แซคสามารถทนได้ การเดินทางอันยาวนานของเออร์แซคสู่ตำแหน่งแม่ทัพสงครามได้ให้ข้อมูลที่ละเอียดมากกว่าปกติของออร์คผู้ปกครองทั่วไป ซึ่งนั่นเป็นทักษะที่เขานำไปใช้ได้ดีในการท้าทายในครั้งแรกของการครองราชย์ใหม่ของตน หรือเรานั้นเรียกว่าการรุกรานของมังกรคราม เออร์แซคนำบลูสแซคและพี่น้องคนอื่น ๆ ในการสู้รบกับ อาซัวร์ผู้ยิงใหญ่ ผู้ซึ่งไม่ชอบกินพวกออร์คและก็อบลิน ในที่สุดกลุ่มผู้แข็งแกร่งก็สังหารมังกรได้ โดยที่เออร์แซคก็ลงมือโจมตีครั้งสุดท้าย จากนั้นเออร์แซคก็อาบด้วยเลือดของมังกร ด้วยความมั่นใจว่าเขาจะกลายเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งอย่างที่นักรบของเขาต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ

ข้าเกิดมา

เพื่อต่อสู้

แม่ทัพใบมีดโลหิต

โอคาจอมโฉด

อดีตแม่ทัพกองรบอย่างออรัคนั้นปกครองผู้คนภายใต้การดูแลของตนโดยส่วนใหญ่มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะกลับไปบ้านบรรพบุรุษของตน – ทุ่งสายลมเอ่ย สถานที่ ๆ ซึ่งในปัจจุบันได้รับการคุ้มกันไว้อย่างแน่นหนาภายในอาณาเขตของจักรวรรดิเฮอชิงเบิร์ก อีกทั้งยังได้รับการคุ้มครองจากป้อมปราการโซลาร์ที่ไร้พ่ายอีกด้วย ความทะเยอทะยานดังกล่าวนั้นคงเป็นเพียงแค่ความปรารถนา หากไม่ใช่เพราะอำนาจใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิมที่ดยุคนิคลอสเปิดเผยต่อโอคาซึ่งทำให้ภารกิจทางการทูตของเขาเปลี่ยนไป อีกทั้งโอคาและกองทหารของเขายังแปรพักตร์ไปอยู่ฝ่ายดยุคในการต่อสู้กับจักรวรรดิ นิคลอสเปิดเผยพลังดังกล่าวต่อโอคาที่เกาะและสถานที่ฝังศพของ ราชาศักดิ์สิทธิ์คาร์ลอสที่จะ “คิดยอมให้กองกำลังของเจ้าเข้าบดขยี้ป้อมปราการโซลาร์ให้เป็นผุยผงได้ง่ายๆ” และโอคารู้ว่ามันเป็นเรื่องจริง

นิคลอสเองก็ได้พบผู้รับที่เต็มใจ และในเวลาโอคาและพี่น้องของเขาก็เข้ามาครอบครองแหล่งพลังอันมืดมิดนี้เช่นกันภายใต้การดูแลของนักบวชหญิงชั้นสูงวาเลอเรียที่แปลกพิศดารและน่าเกรงขามของเขา ด้วยพลังของเศษผลึกความโกลาหลซึ่งโอคาได้กลืนกินเข้าไปในร่างกายของเขาเพื่อใช้พลังเดียวกันกับที่ นิคลอส และวาเลเรียควบคุม โอคาพบว่าตัวเองกลายเป็นจอมแม่ทัพที่ทรงอิทธิพลที่สุดที่เคยมีมาในหลายชั่วอายุคน โอคาตระหนักว่าเขาและพี่น้องที่กลายเป็นอสูรมืดของเขาตอนนี้มีความสามารถที่ไม่อาจปฏิเสธได้ในการยึดดินแดนของบรรพบุรุษของพวกเขากลับคืนมา และทำลายเออร์แซคผู้ถูกสาป หนามสุดท้ายที่คงเหลืออยู่ในตัวเขา

มอบความตาย

ให้กับผู้ทรยศ!

วิญญาณมังกรน้ำแข็ง

ไฮดิสเซีย

ด้วยอายุเพียงแค่พันปี ซึ่งปกติจะเป็นเรื่องที่นึกไม่ถึงสำหรับเจ้าหญิงมังกรน้ำแข็งที่อายุน้อยจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งราชินี อย่างไรก็ตาม นี่ถือว่าไม่ใช่เวลาปกติ เนื่องจากนักล่าจอมละโมภของจักรวรรดิเฮอชิงเบิร์กนั้นได้ทำให้เผ่าพันธุ์ของเธอมุ่งไปสู่การสูญพันธุ์ ไฮดิสเซียมักถูกล่อลวงโดยเส้นทางแห่งการล้างแค้นของสะวันนา แต่สุดท้ายดูเหมือนว่าจะได้รับการอภัยมากกว่าที่เธอคิดไว้ ไฮดิสเซียนั้นไม่เต็มใจที่จะเดินไปตามเส้นทางอันมืดมิดของสหายที่เคารพนับถือของตน แทนที่จะนำพาผู้คนไปยัง บึงเกล็ดมังกร และคอยเฝ้าดูแลอยู่ไม่ห่างจากสายตา แต่ทว่า มังกรน้ำแข็งที่ถูกหลอกล่อนั้นได้พิสูจน์แล้วว่าอายุขัยที่สั้นเนื่องจากเกิดความมืดใหม่กล้ำกรายเข้ามาคุกคามอีกครั้งเพื่อทำลายออเรลิกาทั้งหมด…

รู้สึกหนาว

งั้นรึ?

มังกรดำอัสรีนา

อัสรีนาถูกตราเครื่องหมายอย่างทุกข์ทรมานตั้งแต่เธอกำเนิดขึ้นมาในฐานะตนเป็นผู้ถูกขับไล่จากพวกเอล์ฟ สำหรับลูกหลานเชื้อสายมังกรอย่างเธอ ก็เหมือนกับคนอื่น ๆ ที่มีเชื้อสายมังกรที่ถูกขับไล่ออกมา ทั้งนี้เพราะว่าการที่มีสถานะลูกครึ่งนั้นเป็นสิ่งที่น่าอับอาย\nซึ่งอัสรีนาเองก็รู้ถึงสถานะทางสังคมของเธอเองว่ามีสถานะอันต่ำต้อย แต่สำหรับนักบวชหญิงซาวานาแล้ว นั่นไม่ใช้เรื่องที่แย่นักเลยซาวานานั้นเป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มผู้ดูแลของเธอ ที่ปฏิบัติกับอัสรีนาด้วยความเมตตา โดยในเวลาต่อมานั้น ความจริงที่อัสรีนาได้ถูกทำเครื่องหมายตั้งแต่แรกเกิดเพื่อทำพิธีนั้นก็เพื่อเป็นการสืบทอดผ่านอุปกรณ์หลายชั่วอายุคน ซึ่งเป็นการสลักทุก ๆ พันปี ทั้งนี้เพื่อให้เทพเจ้าแห่งมังกรโบราณแลกกับของกำนัลที่มีพลังเหนือกว่าพลังอื่น ๆ ในทวีบออเรลิกา ซึ่งเชื่อกันว่าหากเครื่องสังเวยไม่ปฏิบัติตามเทพเจ้ามังกรองค์นี้ก็จะเกิดการพิโรจน์และทำลายทุก ๆ เผ่าพันธุ์บนโลกนี้ทันที ซึ่งวิธีนี้สามารถหลีกเลี่ยงง่าย ๆ โดยการถวายผู้ที่ถูกตราบูชายัญ\nฉะนั้นอัสรีนาจึงได้รับการดูแลในฐานะผู้ขับไล่จากเผ่าเพื่อว่าเธอจะเป็นผู้ที่ทำพิธีโบราณนี้ ซึ่งเธอนั้นได้ทำเครื่องหมายก่อนที่เธอจะเกิดโดยหัวหน้านักบวชคนก่อน ในส่วนของเธอนั้นซาวาน่าก็ได้รู้สึกว่าตนมีส่วนที่ต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่อันที่จะต้องเสียสละของอัสรีนา รวมถึงรู้สึกเสียดายถึงช่วงเวลาของสตรีผู้นี้ที่ถูกลิขิตให้อยู่ท่ามกลางความโหดร้ายของเปลวเพลิง แต่ทว่าหากไม่ทำเช่นนี้แล้วการเสียสละจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ในไม่ช้าก็มีกลุ่มใหม่ที่มีความแข็งแกร่งและทรงพลังอย่างยิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นที่ไหนมาก่อนในยุคของมังกร ได้เกิดขึ้นมาในทวีปออเรลิกา ซึ่งก็คือจักรวรรดิเฮอซิงเบิร์ก ครั้งนี้พวกมันเพียบพร้อมไปด้วยกองกำลังจอมเวทย์มนต์ที่ทรงพลัง ซึ่งมีความทุ่มเทพยายามและออกล่ามังกร โดยเหล่านักล่ามังกรเหล่านี้ได้ทำการกวาดล้างผู้คนของนักบวชหญิงระดับสูงซาวาน่าไปมากต่อหน้าต่อตาเธอ ซึ่งนั้นทำให้หัวหน้านักบวชหญิงผู้เคร่งศาสนาผู้นี้เข้าร่วมกับฝ่ายมังกรและมีความพยายามอย่างยิ่งที่จะช่วยเหลือผู้คนของเธอ ด้วยการประสานเป็นหนึ่งเดียวกับความมืด\nข่าวการจากไปของซาวานานั้น ช่วยกระตุ้นให้อัสรีนาค้นหา และช่วยขอให้อดีตคณะนักบวชหญิงให้เดินทางหันกลับไปสู่เส้นทางของเทพเจ้ามังกรของพวกตน ส่วนซาวานานั้นไม่ได้สนใจถึงการเสียสละ ของเทพเจ้ามังกรหรืออะไรเท่าไรนัก ถึงจุดนี้ได้เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่าชะตากรรมอันสุงสุดของอัสรีนา ที่ได้กล่าวว่านักล่ามังกรของจักรวรรดิไม่สามารถที่จะบุกเข้ามาในดินแดนของภูเขาได้นั้น อัสรีนารู้สึกว่าตัวตนของเธอต้องการที่จะสร้างประโยชน์อะไรบ้าง เธอจริงตั้งใจแน่วแนที่จะออกตามหาความจริงของปัญหานี้ ก็จริงอยู่ที่ว่าการทำลายล้างเผ่ามังกรนั้น ได้ช่วยให้อัสรีนาต้องพ้นจากชะตากรรมอันเลวร้าย การบุกรุกนั้นทำให้เธอรอดและก็ตัดสินเลือกเดินทางในเส้นทางชะตากรรมของตัวเองที่ว่าจะเลือกเป็นเอล์ฟหรือมังกร หรือไม่เป็นใครเลยในทวีปออเรลิกา\nไม่ว่าท้ายที่สุดอัสรีนาก็สามารถรอดชีวิตจากในวันที่เธอควรจะเสียสละตน ซึ่งนั้นไม่ใช้ว่าเทพเจ้ามังกรนั้นจะไม่พอใจ แต่ในทางกลับกันนั้นในระหว่างที่เธอถูกสายฟ้าฟาดหรือโดนลงโทษในวันนั้นทำให้เธอไม่ได้รับอันตรายใด ๆ อีกทั้งเธอยังได้รับเวทย์มนต์อันทรงพลังขึ้นมาใหม่ อัสรีนาได้รับเสริมความแข็งแกร่งด้วยความว่องไวทางเวทย์มนต์ที่เพิ่มมากขึ้น โดยยังสับสนอยู่ว่าเป็นพลังงานธรรมชาติหรือมาจากในตัวของเธอเอง แต่อัสรีนานั้นก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าที่จะเปลี่ยนความเกลียดชังในอดีต ส่วนตัวเธอนั้นยอมที่จะเสียสละให้กับตัวเอง แต่ยอมเสียสละให้กับผู้อื่น ให้กลายเป็นการมุ่งที่จะทำร้ายเผ่าพันธ์ของมังกรทั้งหมดให้ราบสิ้น

ไฟแห่งความมืด

จะกัดกินตัวเจ้า!

นักบุญกิ้งก่า

ซิลิน

มนุษย์กิ้งก่าเลือดเย็นอาศัยอยู่ในหนองน้ำหนาแน่นของหนองน้ำมังกรซึ่งมีการวางไข่ และฟักไข่เป็นพันๆ ฟอง จากนั้นจึงฟักไข่ในบ่อเกิดขนาดใหญ่ซึ่งควบคุมโดยความชื้นของบึงที่ไม่เอื้ออำนวย คาดว่าไข่หลายหมื่นฟองจะนำกิ้งก่าตัวใหม่เข้าสู่กลุ่มรังผึ้งในแต่ละรอบการกำเนิด ไม่มีใครสามารถระบุพ่อแม่ของพวกเขาได้ และเป็นไปได้มากว่าสายตามนุษย์จะแยกไม่ออกจากความแตกต่างทางกายภาพที่เกี่ยวข้องกับระบบวรรณะมนุษย์กิ้งก่าสี่ระดับ ไข่มนุษย์กิ้งก่าฟักออกมาแบบสุ่มเป็นหนึ่งในสี่วรรณะใหญ่ๆ: มนุษย์กิ้งก่า มนุษย์กิ้งก่านักรบ ผู้มองญาณ จอมภูติ

สัตว์ยอดนักรบเป็นสัตว์ที่แข็งแกร่งที่สุดและใหญ่ที่สุดในสายพันธุ์ของมัน มีความสามารถในการแสดงความแข็งแกร่งทางกายภาพและไม่มีอะไรมากไปกว่า มัลเฮกผู้ซึ่งอยู่เหนือกว่าสัตว์ร้ายตัวอื่นที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดามนุษย์กิ้งก่าด้วยกัน มัลเฮกผู้ยิ่งใหญ่ได้นำภารกิจมากมายเพื่อต่อสู้กับเพื่อนบ้านคนแคระที่น่ารังเกียจของตน ผู้ลงมือในเรื่องสารพิษที่ไหลบ่าเข้ามา รวมถึงควันที่เป็นกรดที่สร้างความเสียหายให้กับสระแห่งการกำเนิดในแต่ละวัน กลอุบายของมัลเฮก ซึ่งรวมถึงการทำลายกองทหารทั้งหมดของหน่วยรักษาการณ์ของเผ่าโมลเทนที่ติดอาวุธอย่างดีซึ่งนำโดยฮัสเซลหัวหน้าศัตรูและจอมปราชญ์ของพวกเขา ซึ่งมัลเฮกนั้นได้หยุดเคลื่อนไหวเป็นเวลานานพิเศษ ซึ่งนี่แม้แต่หน่วยสำรวจของคนแคระเองก็เผลอเสียท่าในความปลอดภัยของสิ่งรอบข้างมากกว่าสังเกตเห็นภัยที่กร้ำกรายเข้ามา ค่ำคืนมาถึงและทางมัลเฮกเองพร้อมที่จะโจมตีหน่วยลาดตระเวนที่หลับใหลและได้ค้นพบว่าหางของเขาแข็งอย่างมีประสิทธิภาพในหนองน้ำ ซึ่งเป็นหนองน้ำน้ำแข็งทางเหนือที่หนาวเย็น เขาฉีกมันออกแล้วทิ้งตัวล้มลงบนนักรบที่หลับใหลไปด้วยความโกรธสุดขีดในการต่อสู้ ซึ่งเขามองเห็นว่าฮัสเซลได้รับบาดเจ็บสาหัสในการต่อสู้ที่ได้ประจักษ์ว่าแฮสเซลบาดเจ็บอย่างหนัก

ทางมัลเฮกได้นำหัวของคนแคระที่ถูกตัดออกแสดงต่อหน้าเหล่ามนุษย์กิ้งก่าในรังและตัวซิลินนักพยากรณ์เองก็ได้ประกาศว่ายอดฝีมือสุดอัศจรรย์นั้นอยู่ในหมู่พวกเขานี่เอง ซิลิน ประดิษฐ์หางของน้ำแข็งที่ส่องแสงระยิบระยับและมอบสัญลักษณ์แห่งความแข็งแกร่งให้กับ มัลเฮก – “หอกของผู้เผยพระวจนะ” นับแต่นั้นมา มัลเฮกได้รับชัยชนะอย่างต่อเนื่องมากมายในฐานะทหารมนุษย์กิ้งก่าภายใต้คำสั่งของซิลินผู้ซึ่งได้ประกาศถึงการปรากฏตัวของอัตว์อสูรร้ายผู้ทรงพลัง ซึ่งนั่นก็เป็นหลักฐานเพียงพอแล้วที่จะแสดงถึงเจตจำนงของเหล่าทวยเทพต่อมนุษย์กิ้งก่าที่จะขับไล่คนแคระออกจากอาณาจักรแห่งขุนเขาไปในท้ายที่สุด

ข้า....คือ...

ความจริง!

นักบวชมังกร

สะวันนา

มังกรนักบวชหญิงระดับสูงผู้นี้ได้สร้างชื่อให้กับตัวเองว่าเธอเป็นหนึ่งในมังกรไม่กี่ตัวที่นักล่ามังกรแห่งจักรวรรดิเฮอชิงเบิร์ก กลุ่มนักล่าจอมเวทย์ และผู้ไต่สวนหวาดกลัวอย่างแท้จริง

เธอนั้นเป็นสมาชิกคนหนึ่งของเผ่าพันธุ์สัตว์เลือดเย็นที่เก่าแก่ที่สุดของออเรลิกา ซึ่งมีเรื่องราวที่เล่าขานกันมาว่าอาณาจักรที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ ซาวันนาใช้เวลาสามพันกว่าปีนับกำเนิดมาในการดำรงอยู่ตามสิ่งที่เธอเชื่อว่าเป็นเจตจำนงโบราณของลอร์ดมังกรในการปกป้องออเรลิกาและเผ่าพันธุ์มนุษย์ ซึ่งเป็นประชากรที่มีอายุขัยน้อยกว่า ความสงบสุขระหว่างมนุษย์และเผ่าพันธุ์มังกรอาจคงอยู่ได้นานหากไม่มีมหาอำนาจที่แท้จริงของออเรลิกา จักรวรรดิเฮอชิงเบิร์กที่มีกองทัพ นักล่ามังกร ที่บ้าคลั่งนั้นสามารถเข้าบุกโจมตีได้แม้แต่เผ่ามังกรที่ทรงพลังที่สุด ในไม่ช้า งานเลี้ยงล่าสัตว์ขนาดใหญ่จากเมืองหลวง ก็ได้คัดเลือกเผ่าพันธุ์โบราณจำนวนมาก

การสังหารหมู่ที่โหดร้ายได้วางเมล็ดพันธุ์แห่งการเปลี่ยนแปลงอันน่าทึ่งของสะวันนา สะวันนาเริ่มตระหนักว่าการแก้แค้นอาจเป็นความชั่วร้ายที่จำเป็นต่ออำนาจของจักรวรรดิอย่างช้าๆ แต่แน่นอน นั่นถือว่าเป็นเส้นทางที่ดึงดูดสะวันนาเข้าสู่เส้นทางของอสูรความมืด ทั้งชีวิตของมังกรลิชและการแชร์ความรู้สึกไม่สบายใจกับนิคลอสผู้ด้วยกัน…

อีกไม่นาน

ความตายก็จะมาหาเจ้า!

หางน้ำแข็ง

มัลเฮก

มนุษย์กิ้งก่าเลือดเย็นอาศัยอยู่ในหนองน้ำหนาแน่นของหนองน้ำมังกรซึ่งมีการวางไข่ ฟักไข่ และฟักไข่เป็นพันๆ ฟอง จากนั้นจึงฟักไข่ในบ่อเกิดขนาดใหญ่ซึ่งควบคุมโดยความชื้นของบึงที่ไม่เอื้ออำนวย คาดว่าไข่หลายหมื่นฟองจะนำกิ้งก่าตัวใหม่เข้าสู่กลุ่มรังผึ้งในแต่ละรอบการกำเนิด ไม่มีใครสามารถระบุพ่อแม่ของพวกเขาได้ และเป็นไปได้มากว่าสายตามนุษย์จะแยกไม่ออกจากความแตกต่างทางกายภาพที่เกี่ยวข้องกับระบบวรรณะมนุษย์กิ้งก่าสี่ระดับ ไข่มนุษย์กิ้งก่าฟักออกมาแบบสุ่มเป็นหนึ่งในสี่วรรณะใหญ่ๆ: มนุษย์กิ้งก่า มนุษย์กิ้งก่านักรบ ผู้มองญาณ จอมภูติ

สัตว์ยอดนักรบเป็นสัตว์ที่แข็งแกร่งที่สุดและใหญ่ที่สุดในสายพันธุ์ของมัน มีความสามารถในการแสดงความแข็งแกร่งทางกายภาพและไม่มีอะไรมากไปกว่า มัลเฮกผู้ซึ่งอยู่เหนือกว่าสัตว์ร้ายตัวอื่นที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดามนุษย์กิ้งก่าด้วยกัน มัลเฮกผู้ยิ่งใหญ่ได้นำภารกิจมากมายเพื่อต่อสู้กับเพื่อนบ้านคนแคระที่น่ารังเกียจของตน ผู้ลงมือในเรื่องสารพิษที่ไหลบ่าเข้ามา รวมถึงควันที่เป็นกรดที่สร้างความเสียหายให้กับสระแห่งการกำเนิดในแต่ละวัน กลอุบายของมัลเฮก ซึ่งรวมถึงการทำลายกองทหารทั้งหมดของหน่วยรักษาการณ์ของเผ่าโมลเทนที่ติดอาวุธอย่างดีซึ่งนำโดยฮัสเซลหัวหน้าศัตรูและจอมปราชญ์ของพวกเขา ซึ่งมัลเฮกนั้นได้หยุดเคลื่อนไหวเป็นเวลานานพิเศษ ซึ่งนี่แม้แต่หน่วยสำรวจของคนแคระเองก็เผลอเสียท่าในความปลอดภัยของสิ่งรอบข้างมากกว่าสังเกตเห็นภัยที่กร้ำกรายเข้ามา ค่ำคืนมาถึงและทางมัลเฮกเองพร้อมที่จะโจมตีหน่วยลาดตระเวนที่หลับใหลและได้ค้นพบว่าหางของเขาแข็งอย่างมีประสิทธิภาพในหนองน้ำ ซึ่งเป็นหนองนน้ำน้ำแข็งทางเหนือที่หนาวเย็น เขาฉีกมันออกแล้วทิ้งตัวล้มลงบนนักรบที่หลับใหลไปด้วยความโกรธสุดขีดในการต่อสู้ ซึ่งเขามองเห็นว่าฮัสเซลได้รับบาดเจ็บสาหัสในการต่อสู้ที่ได้ประจักษ์ว่าแฮสเซลบาดเจ็บอย่างหนัก

ทางมัลเฮกได้นำหัวของคนแคระที่ถูกตัดออกแสดงต่อหน้าเหล่ามนุษย์กิ้งก่าในรังและตัวซิลินนักพยากรณ์เองก็ได้ประกาศว่ายอดฝีมือสุดอัศจรรย์นั้นอยู่ในหมู่พวกเขานี่เอง ซิลิน ประดิษฐ์หางของน้ำแข็งที่ส่องแสงระยิบระยับและมอบสัญลักษณ์แห่งความแข็งแกร่งให้กับ มัลเฮก – “หอกของผู้เผยพระวจนะ” นับแต่นั้นมา มัลเฮกได้รับชัยชนะอย่างต่อเนื่ิองมากมายในฐานะทหารมนุษย์กิ้งก่าภายใต้คำสั่งของซิลินผู้ซึ่งได้ประกาศถึงการปรากฏตัวของอัตว์อสูรร้ายผู้ทรงพลัง ซึ่งนั่นก็เป็นหลักฐานเพียงพอแล้วที่จะแสดงถึงเจตจำนงของเหล่าทวยเทพต่มนุษย์กิ้งก่าที่จะขับไล่คนแคระออกจากอาณาจักรแห่งขุนเขาไปในท้ายที่สุด

จงทนรับแรงโกรธ

ของข้าไปซะ!

โยลันดาศักดิ์สิทธิ์

โยลันดาศักดิ์สิทธิ์

โยลันดานั่งขัดสมาธิอยู่ในมุมหนึ่งของวิหารแห่งรุ่งอรุณอันศักดิ์สิทธิ์ นางกำลังนั่งสมาธิอย่างใจจดจ่อ ทุกอย่างเงียบงัน มีเพียงเสียงลมหายใจของนางเท่านั้น ขณะนี้จิตวิญญาณของนางอาจอยู่อีกโลกหนึ่งก็เป็นได้ “โอ แสงแห่งรุ่งอรุณที่ข้ารับใช้และเทิดทูนบูชา ข้าในฐานะสาวกผู้ซื่อสัตย์อยากวิงวอนขอความเมตตา! ดินแดนของเราได้ทนทุกข์ทรมานมามากแล้ว และกำลังจะเกิดภัยพิบัติอันยิ่งใหญ่ ข้าน้อยขออำนาจที่จะช่วยต้านทานพลังแห่งกลียุคและปกป้องออเรลิก้าด้วยเถิด” โยลันดามีสีหน้าเคร่งเครียดในระหว่างรอคำตอบ นางดูกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด
“พลังที่เจ้ามีนั้นเพียงพอแล้ว” น้ำเสียงที่อ่อนโยนและบริสุทธิ์ได้ดังขึ้นในจิตสำนึกของโยลันดา นี่คือเสียงของเทพธิดาแห่งรุ่งอรุณนั่นเอง “เพียงพอหรือ? ข้ารู้สึกจำนนต่ออำนาจของพลังแห่งกลียุคเหลือเกิน” “โยลันดา เจ้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสูงสุดในภาคีแห่งแสง เจ้ามีเวทมนตร์ที่ทรงพลังและน่าสะพรึงกลัว มันไม่ได้เป็นเพียงพลังในการช่วยชีวิตเท่านั้น แต่มันยังชำระล้างสิ่งชั่วร้ายจากพลังแห่งกลียุคได้อีกด้วย” “แล้วข้าจะใช้พลังเหล่านี้ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดได้ยังไง” โยลันดาตอบกลับโดยใช้สัญญาณจิต “โยลันดา เจ้าไม่จำเป็นต้องหาพลังจากภายนอกหรอก พลังที่เจ้ามีนั้นเพียงพอแล้ว ในตอนนี้เจ้าเอาแต่มองตัวเองในฐานะผู้ปกป้องและผู้รักษา แต่เจ้าอาจลืมไปว่า นอกจากการเป็นผู้พิทักษ์แล้ว เจ้ายังเป็นนักรบที่น่าเกรงขามได้อีกด้วย จำไว้นะ แสงสามารถปกป้องได้และทำลายได้ด้วยเช่นกัน”
“อย่าได้กลัวไฟที่แผดเผาอยู่ในตัวเจ้า จงปลดปล่อยมันออกมา! และเจ้าจะกลายเป็นผู้ลงทัณฑ์ที่น่ากลัว” ทันใดนั้น วิญญาณของโยลันดาก็กลับมา นางสัมผัสได้ถึงอากาศที่ปะทะใบหน้า พื้นแข็งๆ และลมหายใจของตัวเอง นางได้รับคำตอบแล้ว เทพธิดาแห่งแสงได้บอกใบ้ในสิ่งที่โยลันดาก็ไม่เข้าใจนัก แต่มันทำให้นางได้รู้ว่า นางไม่จำเป็นต้องทำหน้าที่ผู้ปกป้องอีกต่อไปแล้ว นางต้องเชื่อในสิ่งที่เทพธิดาแห่งแสงบอก ที่จริงแล้วแสงศักดิ์สิทธิ์ก็มีพลังทำลายล้างมหาศาลเช่นกัน นางไม่ได้เป็นเพียงผู้พิทักษ์ของออเรลิก้าเท่านั้น แต่นางต้องทำหน้าที่ผู้ลงทัณฑ์แห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ในมหาสงครามที่จะมาถึงนี้ด้วย!

สิ่งมีชีวิตทั้งปวง

จะอยู่ภายใต้แสงแห่งรุงอรุณ!

นักเต้นดอกบัวแดง

ฟลาเรนซ์

ฟลาเรนซ์เป็นนักเต้นรำในตำนานของโรงเตี๊ยมทับทิม ทักษะที่ยอดเยี่ยมและใบหน้าที่งดงามชวนหลงใหลของนางได้สะกดใจนักเลงทั่วเกาะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลประจำปีที่ครึกครื้นของพวกเขา

ต้องขอบคุณฟลาเรนซ์ที่ทำให้พวกขี้เมาหรือพวกนักพนันที่เสียผู้เสียคนได้มีช่วงเวลาอันน่ารื่นรมย์บนเกาะโจรสลัดแห่งนี้ เรื่องของนางคงไม่เป็นที่น่าสงสัยนักหากไม่ใช่เพราะนางมีพรสวรรค์รอบทิศ และพฤติกรรมที่ดูเหมือนว่านางจะกำลังตามหาใครหรืออะไรบางอย่างเสียมากกว่าของนาง

ความจริงก็คือฟลาเรนซ์เป็นผู้นำลึกลับคนที่ห้าที่อยู่เบื้องหลังองค์กรปกครองที่เป็นความลับของเกาะนามว่าเดอะไฮฟ์ และนางเป็นผู้เก็บรวบรวมข่าวกรอง แน่นอนว่าฟลาเรนซ์เป็นหัวข้อซุบซิบยอดนิยมเพราะเหตุผลอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน หนึ่งในนั้นคือเรื่องความสัมพันธ์อันลึกลับของนางกับพลูโต เจ้าของโรงเตี๊ยม โดยพยานที่ไม่น่าเชื่อถือได้อ้างว่าพวกเขาเห็นสองคนนี้เต้นรำยามดึกด้วยกัน และการปฏิบัติที่ไร้ความปราณีและไร้ขอบเขตของพลูโตกับชายใดก็ตามที่กล้าทำให้ฟลาเรนซ์เสื่อมเสียชื่อเสียง

การแสดงต่อไปของข้าคือ

ระบำดาบ!

ผู้พิทักษ์หอกปืน

โอปอล

โอปอลโชคดีที่ได้เกิดมาในครอบครัวเจ้าขุนมูลนาย ทั้งพ่อและแม่ของนางเป็นหัวหน้าในหน่วยผู้พิทักษ์เมืองหลวงของจักรวรรดิเฮอชิงเบิร์ก หน้าที่การงานและสถานะทางสังคมของพ่อแม่มาพร้อมกับความคาดหวังที่โอปอลต้องแบกรับตั้งแต่นางอายุเพียงแค่ 4 ขวบเท่านั้น นางต้องเข้าร่วมโปรแกรมการฝึกเฉพาะที่ผสมผสานวินัยทางการทหาร การฟันดาบ และศิลปะการป้องกันตัวเข้าด้วยกัน นี่เป็นการฝึกที่ดีที่สุดเท่าที่จักรวรรดิมีอยู่ในขณะนั้น และเป็นความหวังที่จะเกลาโอปอลให้กลายเป็นหนึ่งในนักรับที่เก่งที่สุด ความพ่ายแพ้อย่างยับเยินของพ่อนางในการแข่งขันต่อสู้ในจักรวรรดิต่อแวนซ์ ทหารลาเซอ พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าความแข็งแกร่งทางกายเพียงอย่างเดียวไม่อาจเอาชนะเวทมนตร์และทำให้ใครขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของการเป็นนักรบได้ และนี่ทำให้พ่อของโอปอลเปลี่ยนความคิดใหม่ นางถูกส่งไปที่วิทยาลัยแห่งจักรวรรดิ ที่ซึ่งนางจะได้เรียนการร่ายมนตร์พร้อมไปกับการฝึกศิลปะการต่อสู้อันแสนเหน็ดเหนื่อย

ความทุ่มเททางกายและความฉลาดโดยธรรมชาติของโอปอลทำให้เธอได้รับความชื่นชมจากผู้คนในวิทยาลัยในเวลาไม่นาน นอกจากนี้ โอปอลยังค้นพบอย่างอื่นด้วยเช่นกัน และนั่นคือรสชาติแห่งอิสรภาพครั้งแรกของนางที่ไม่ต้องอยู่ใต้กฎที่แสนเข้มงวดของครอบครัวนาง เมื่ออยู่ห่างจากพ่อจอมบงการ โอปอลจึงมีโอกาสได้ค้นพบความสนใจใหม่ ๆ นอกเหนือจากการต่อสู้

โอปอลได้แสดงความสามารถของนางมากที่สุดในหลักสูตรอัจฉริยะทางเวทมนตร์ที่วิทยาลัย และได้รับการชื่นชมและมิตรภาพจากอังกอร์ ครูนักเวทย์ผู้ทรงพลัง อังกอร์เสริมความสามารถของโอปอลด้วยการมอบอาวุธวิเศษที่ไม่เหมือนใครให้นาง หอกระยะไกลมีพลังพิเศษที่ช่วยให้เธอไต่ขึ้นไปยังตำแหน่งหัวหน้าของกองทหารรักษาการณ์ชายแดนของจักรวรรดิได้อย่างรวดเร็ว

มีคนกล่าวว่าวิธีที่เร็วที่สุดในการสูญเสียความฝันคือการเติมเต็มความฝันนั้น เช่นเดียวกับโอปอล การถูกจำกัดให้อยู่ในกรอบด้วยการเป็นนักดาบ และต้องล้อมรอบไปด้วยครอบครัวขุนนางที่มีความสำคัญและฉ้อฉลทำให้โอปอลรู้สึกสิ้นหวัง การศึกษาของนางทำให้นางมองสิ่งที่ผู้พิทักษ์ทำเป็นการกดขี่ชาวบ้าน เพื่อรักษาสถานะของตัวเอง ความคิดแบบขุนนางที่พ่อของโอปอลปลูกฝังให้นางจงรักภักดีต่อราชวงศ์และจักรวรรดิเริ่มค่อย ๆ จางลง โอปอลเริ่มทบทวนบทบาทที่แท้จริงของผู้พิทักษ์ในจักรวรรดิ ความคิดที่ก้องอยู่ในหัวของโอปอลถูกเผยออกมาเมื่อวันหนึ่งลูกน้องที่มาหานางที่บ้านพบว่านางหนีออกจากเมืองไปแล้ว ในที่สุด โอปอลก็คว้าโอกาสในการหนีออกไปจากจักรวรรดิ และการกระทำที่แสดงความกดขี่ไว้เบื้องหลัง…

เผา

ให้สิ้นซาก!

อัจฉริยะผู้มาก่อนกาล

บูลิน

บูลินเป็นสมาชิกของเผ่าทาโค้ ซึ่งเป็นอารยธรรมที่มีความซับซ้อนสูง ซึ่งเทคโนโลยีส่วนใหญ่ของเขานั้น
สร้างบนเครือข่ายของผลึกพลังงานที่ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งนั้นทำให้พลังงานนั้นมีราคาถูกและเข้าถึง
ได้แบบแทบจะไร้ขีดจำกัดเลยทีเดียว

บูลินและเพื่อนร่วมงานของเธอนั้นปฏิบัติงานอยู่ที่แลปปฏิบัติการที่ศูนย์วิจัยการเคลื่อนย้ายมวลสาร
ระหว่างมิติ ซึ่งตั้งอยู่อาคารที่ 5 บนถนน คอแลนด์สตรีท ซึ่งที่แห่งนี้ประสบอุบัติเหตุทางอุตสาหกรรม
ครั้งใหญ่นานมาแล้ว ซึ่งนั่นนำไปสู่การแยกระหว่างมิติที่อยู่ใกล้เคียงกันและนั่นทำให้
บูลินและสมาชิกคนอื่น ๆ ในทีมของเธอ เดินทางเข้ามายังโลกของออเรลิกา
โดยที่เธอกับพรรคพวกของเธอนั้นไม่มีทางที่จะกลับบ้านได้

เนื่องจากเธอนั้นขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอะตอมในช่องว่างสเปซย่อยของกาลเวลา บูลิน
และเพื่อนร่วมชะตากรรมของเธอนั้นจึงได้ตัดสินใจสร้างชีวิตใหม่ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยการตั้ง
ร้านค้าอยู่ในเมืองเสรี ที่ที่เครื่องใช้ที่แปลกประหลาดของพวกเขานั้น
ทำให้ชาวเมืองนั้นมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น และใช้งานสิ่งต่าง ๆ ได้ซับซ้อนน้อยลง
ซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่ตื่นตาตื่นใจพอ ๆ กับเวทมนตร์

รู้สึกยังไง

เวลาโดนไฟฟ้าช็อต?

แสงสว่างแห่งทาลิน

เทีย

เทียเป็นที่รู้จักจากบรรดาผู้มีเกียรติมากมายในหมู่ชาวนครทาลินว่า “ผู้ปกครองของทาลิน”, “ผู้ปฏิรูปผู้ยิ่งใหญ่แห่งทาลิน” และแม้แต่ “แสงแห่งทาลิน” ตำแหน่งดังกล่าวจะต้องเป็นตำแหน่งโดยสายเลือดที่น่าประทับใจยิ่ง เนื่องจากว่าทาลินเป็นหนึ่งในอาณาจักรมนุษย์แห่งออเรลิกาที่มีความโดดเด่นและมีความเป็นอนุรักษ์นิยมมากที่สุด ทาลินจึงเป็นสังคมที่มีการปกครองโดยมีผู้ปกครองที่เข้มแข็ง ปกครองโดยประเพณีที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งที่ยังคงดำเนินต่อไปในโลก ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปใหญ่อย่างออเรลิกา ในโลกที่โดยทั่วไปผู้ชายเป็นใหญ่ ผู้หญิงในสังคมทาลินครอบครองที่กลุ่มอำนาจหลักปกครองดูแลทั้งหมด – ตำแหน่งทางเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม และการทหารในสังคมทาลินล้วนถูกควบคุมโดยผู้หญิง ธรรมเนียมของชาวทาลินเหล่านี้ยังเสริมด้วยขนบธรรมเนียมที่ไม่ธรรมดาอื่นๆ อีกหลายประการด้วย เช่น ข้อกำหนดที่ไม่ได้ระบุเป็นลายลักษณ์อักษรที่ให้ผู้ชายอยู่ในบ้านของเจ้าสาวเมื่อแต่งงาน และฝ่ายหญิงจะคงอยู่ในเรือนของพ่อแม่ตนตลอดไป

คนนอกอาจมองว่าทาลินไม่ค่อยต้อนรับขับสู้สักเท่าใดนัก ทั้งนี้เป็นเงื่อนไขในการปกครองแบบกลุ่มลัทธิชาวต่างชาติและลัทธิดั้งเดิมนิยมล้นเกิน ซึ่งนี่เป็นการเลือกสละความเป็นอยู่ที่ดีทางเศรษฐกิจของผู้คนเพื่อรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่โดดเด่น ปกครองภายใต้อุ้งมืออันสุดสยองของสภาที่มีแต่หญิงชรา อย่างไรก็ตาม การให้ความสำคัญกับปัญหาภายในของทาลินนั้นเป็นผลมาจากการพิจารณาด้านการทหารที่พอๆ กับขนบธรรมเนียมประเพณี ผู้ปกครองของทาลินกังวลอย่าง
มากกับการจำกัดไม่ให้ประชาชนเห็นสังคมของต่างนคร ทั้งการครองอำนาจ และโครงสร้างทางสังคมที่แตกต่างกัน เพื่อรักษาความเป็นเนื้อเดียวกันทางสังคมและการเชื่อฟังให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ พลังที่อยู่ในตัวชาวทาลินนั้นยังให้ความสำคัญกับศิลปะการต่อสู้และสมรรถภาพทางกายเป็นอย่างมาก รวมถึงเป็นการบังคับเพื่อรับใช้ในฐานผู้พิทักษ์แห่งทาลิน ซึ่งทั้งหมดนี้มีส่วนทำให้เกิดโครงสร้างแบบลำดับชั้นที่จัดระเบียบตามบ้านหรือตระกูลทาลินที่ยิ่งใหญ่หลายแห่ง

ซึ่งบรรพบุรุษของเทียนั้นเองสามารถสืบทอดได้ ซึ่งเมื่อสืบย้อนไปถึงแอนนา อนิมาลายาผู้ก่อตั้งดั้งเดิมของทาลิน เธอนั้นยังคงอยู่ในฐานะที่ใกล้กับศูนย์กลางของอำนาจในสังคมชาวทาลิน ทั้งนี้อันเนื่องมาจากความสัมพันธ์ของเธอโดยการแต่งงานกันกับผู้ปกครองคนก่อนของมาลินก่อนที่เธอจะขึ้นครองตำแหน่ง โศกนาฏกรรมเกิดขึ้นกับเทียและน้องสาวของเธอตั้งแต่อายุยังน้อยด้วยการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของพ่อแม่ พี่สาวน้องสาวทั้งสองได้เลี้ยงดูมาในครอบครัวของราชินี อดีตราชินีจำพรสวรรค์ของเทียได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นทายาทที่ได้รับเลือกจากราชสำนัก ทันใดนั้น เทีย ก็ได้เผชิญหน้ากับปัญหาที่ถาโถมเข้ามารุมเร้าในฐานะผู้ปกครองของอาณาจักรใหม่ของตน ความวุ่นวายที่ก่อตัวขึ้นภายในทั้งจากคนในและคนนอก การยกพลเข้าประชิดกับชายแดนทาลินโดยจักรวรรดิเฮอชิงเบิร์ก การแบ่งชั้นโครงสร้างทางสังคมของชาวทาลินที่ส่งผลให้สร้างความไม่พอใจให้กับชนชั้นล่าง และการขาดแคลนอย่างต่อเนื่องของเสบียงอาหารทั้งนี้เนื่องจากทาลินไม่ได้ติดต่อค้าขายกับประเทศมหาอำนาจภายนอก – ซึ่งนี่ยังไม่ได้กล่าวถึงภัยคุกคามที่เผชิญในปัจจุบันคือการบังคับให้สละราชสมบัติ ซึ่งเทียเองก็พยายามแจ้งปัญหาเหล่านี้ให้กับทางสภาระดับสูงทราบแล้ว

ซึ่งแทนที่เธอจะหลบซ่อนเพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับตัวเอง เทียเลือกที่จะเริ่มทำการปฏิรูปประเทศอย่างต่อเนื่องด้วยการยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวทาลินกับชาวทาลินจากราชวงค์และอิโมเจน องครักษ์คนสนิทผู้เป็น “ปรมาจารย์ดาบจันทรา” ให้เป็นผู้ร่วมปกครองอาณาจักรด้วย เมื่อเทียนั้นได้ตระหนักถึงอันตรายที่อาจเกิดกับชีวิตของตนจากการปฏิรูปนครแห่งนี้ เทียจึงได้จัดหลักสูตรการศึกษาสำหรับน้องสาวของเธอกับโรงเรียนเวทย์มนต์ในเมืองหลวงของจักรวรรดิเฮอชิงเบิร์ก ซึ่งเธอจะยังคงปลอดภัยหากการเมืองของนครทาลินเกิดเปลี่ยนไป นาธาเลียได้พิสูจน์การศึกษาอย่างรวดเร็วที่โรงเรียนเวทย์ ซึ่งชุดเกราะ โคลด์สตีลของเธอจากราชินีแอนนาและดาบน้ำค้างแข็งที่ดึงดูดผู้ชื่นชมมากมายสายตาในโถงแห่งผู้วิเศษ นาธาเลียได้หวนกลับคืนในเวลาต่อมา เคียงข้างพร้อมอิโมเจนนั้นจึงทำให้เทียได้รับการสนับสนุนในส่วนที่จำเป็นต่อการดำเนินการตามวิสัยทัศน์ของเธอสำหรับการยกระดับสังคมของชาวทาลิน

เทียได้ทำการได้ยกเลิกตำแหน่งที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์หลาย ๆ ตำแหน่งที่ถือครองโดยขุนนางด้วยการเติมเต็มตำแหน่งเหล่านั้นด้วยเหล่าผู้มีพรสวรรค์หน้าใหม่ เธอได้ทำการเปิดท่าเรือของทาลินเพื่อทำการค้าขายกับเมืองอื่น ๆ และได้ให้การสนับสนุนด้านการค้ากับรัฐอิสระที่อยู่ใกล้เคียง รวมถึงเมืองเพกาซัสของรัฐเพื่อให้มีการจ้างงานมากขึ้นและยกระดับมาตรฐานการครองชีพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และเธอยังได้ริเริ่มการทำปฏิรูปอย่างมีเสรีภาพและมีความยุติธรรมแก่การบริหารงานด้านพลเรือนของทาลินเพื่อขจัดอคติต่อผู้เข้าสมัครสอบชายและจัดการกับอิทธิพลด้านเส้นสายและการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่พลเรือนสามัญเพื่อกระตุ้นการพัฒนาของพลเมืองทาลินให้รุดหน้าไป ความทะเยอทะยานอันแรงกล้าของเทียที่จะได้เห็นนครทาลินเปลี่ยนไปเป็นสังคมสมัยใหม่และเจริญรุ่งเรือง ผลักดันให้มาตรฐานการครองชีพของผู้คนพัฒนาขึ้นอย่างมาก และได้รับรางวัลที่เธอให้ความสนใจจากเกียรติยศมากมาย: “แสงแห่งทาลิน”

พร้อม

รับใช้

กระสุนกุหลาบ

เอฟเวอร่า

ภูมิหลังของเอฟเวอร่า ที่ไปที่มาของการเป็นโจรสลัด และการที่เธอได้รับ “ดาบแห่งคมหนาม” และ “กุหลาบไฟ” มาได้อย่างไรนั้น ยังคงเป็นปริศนาตั้งแต่วันที่เธอปรากฏตัวขึ้นจากที่ไหนก็ไม่มีใครทราบที่หัวเรือโจรสลัดสี่ลำเพื่อปราบกองทัพเรือจักรวรรดิที่ทรงพลัง การออกเดินทางในเหตุการณ์ “การต่อสู้ในอ่าวไฟ” ชื่อของเอฟเวอร่าได้กลายเป็นชื่อที่มีความหมายเหมือนกันกับ “กุหลาบแห่งราตรีสีดำ” ของเกาะโจรสลัดทั่วทั้งออเรลิกา โดยเอฟเวอร่าผู้ลึกลับได้ที่นั่งใน “สภาจตุรภาคี” ที่ควบคุมกิจการของเกาะโจรสลัดหลังจากนั้นไม่นาน และยังคงเป็นหนึ่งในผู้อยู่อาศัยที่น่ากลัวที่สุด หญิงสาวที่มีความงามที่ไม่ธรรมดาอย่างเอฟเวอร่านั้น ไม่เคยขาดชายหนุ่มที่ดาหน้าเข้ามาจีบ ไม่ว่าจะเป็นหนุ่มสุภาพ จริงใจหยาบคาย นับตั้งแต่จากกลุ่มโจรสลัดไปจนคนใหญ่คนโต หนึ่งในนั้นเคยลงทุนถึงขนาดสร้างรูปปั้นขนาดมหึมาตั้งไว้ในใจกลางเมืองหลักเพื่อเอาชนะใจเธอ ซึ่งผลก็คือ รูปปั้นนั่นถูกปืนคาบศิลาของเธอกระหน่ำยิงระเบิดเป็นชิ้น ๆ โดยที่เอฟเวอร่าลั่นวาจาว่า “ดินปืนหนึ่งถังยังมีค่ามากกว่าความรักของผู้ชายคนหนึ่ง จะเอาชนะใจฉันมีแค่หินก้อนเดียวฝันไปเถอะย่ะ” ซึ่งนับว่าการมีคู่ครองนั่นไม่จำเป็นสำหรับเธอสักเท่าไหร่ แต่ความเชื่อมั่นของเอฟเวอร่านั้นเป็นเพียงการยืนยันถึงชื่อเสียงของเธอในฐานะผู้หญิงที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมแต่ขาดแค่คนที่เหมาะสมเท่านั้นเอง…

ความตาย

กำลังเบ่งบาน

นักเดินทาง

โยลันดา

รัศมีแห่งอรุณ เป็นองค์กรที่เก่าแก่อย่างแท้จริง แม้แต่นักประวัติศาสตร์ก็ยังไม่แน่ใจว่ามันถูกก่อตั้งเมื่อใดหรือโดยใคร แต่มีข้อสงสัยเล็กน้อยเกี่ยวกับภารกิจของมัน นั่นคือการปกป้องผู้คนในออเรลิกาจากการบุกรุกของอสูรความมืด องค์กรนี้เป็นที่รู้จักกันดีและได้รับการเรียกใช้งานอยู่บ่อยครั้งตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมาเพื่อช่วยเหลืออาณาจักรต่าง ๆ ในการต่อสู้กับความมืด สมาชิกส่วนใหญ่ของ รัศมีแห่งอรุณ ทำงานอย่างลับๆ อยู่เบื้องหลังเพื่อทำงานที่จำเป็นได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม สมาชิกบางคนเลือกที่จะเปิดเผยตัวตนของพวกเขาต่อสาธารณะ โดยที่โดดเด่นที่สุดคือจอมเวทย์แห่งแสงศักดิ์สิทธิ์อย่าง โยลันดา

โยลันดานั้นเป็นหนึ่งในมหาจอมเวทย์ที่ทรงพลังที่สุดในออเรลิกา และอาจนับได้ว่าเป็นผู้ฝึกตนแห่ง “แสง” ที่ทรงพลังที่สุดของโรงเรียนแห่งเวทมนตร์ที่เธอได้สืบทอดมาจากครูฝึกของเธอและโรงเรียนแห่งนี้ก็เป็นสถานที่ที่ดีในการรับมือกับศาสตร์มืด

โยลันดาเกิดและเติบโตเป็นสมาชิกของกลุ่มแบนตัสเมื่อหลายศตวรรษก่อนในทวีปที่ต่างไปจากปัจจุบันไปอย่างสิ้นเชิง เธอเป็นที่รู้จักในฐานะเด็กที่ร่าเริงและขี้สงสัย มีพรสวรรค์ในด้านเวทมนตร์ แต่ไม่ต้องการจำกัดตัวเองให้อยู่กับเวทมนตร์คาถาที่ฝึกโดยพี่น้องพาลาดินของเธอ เนื่องจากเธอศึกษาเวทมนตร์อย่างหมกมุ่นอยู่กับตัวเธอเอง ธรรมชาติที่อยากรู้อยากเห็นของเธอเกี่ยวกับความลึกลับของเธอได้นำเธอไปสู่เส้นทางของจักรวรรดิเฮอชิงเบิร์ก ซึ่งเธอได้ลงทะเบียนเรียนในโรงเรียนเวทมนตร์แห่งจักรวรรดิ ทว่าแม้แต่อาจารย์ของพวกเขาก็ไม่สามารถปรนเปรอความอยากรู้ของเธอได้ และเธอก็เริ่มสำรวจอาร์ติแฟกต์อื่นๆ และผู้วิเศษที่มีชื่อเสียงทั่วแคว้นแดนออเรลิกาได้ ในที่สุดการเดินทางของเธอก็ได้พาเธอไปหาซิลเวีย แม่ของเอเวลินผู้เป็นศิษย์ของเธอ ซึ่งเหมือนกับโยลันดาที่มีความหลงใหลในการค้นคว้าเหมือนกัน ยกเว้นในกรณีของซิลเวีย ที่มุ่งต่อต้านอสูรความมืดโดยสิ้นเชิง ทั้งคู่ตามติดกันไปอย่างแยกกันไม่ออก

การเดินทางของโยลันดาและซิลเวียในที่สุดพวกเขาก็พาพวกเขาไปยังเมืองเล็กๆ ในเขตชานเมืองทาลินที่ซิลเวียสงสัยว่าถูกความมืดครอบงำ ทั้งคู่ถูกปลุกให้ตื่นจากการหลับไหลจากเหตุที่ไม่คาดคิด และทั้งสองพบว่าตนนั้นถูกห้อมล้อมไปด้วยชาวบ้านที่โกรธเกรี้ยวอย่างรุนแรงจนบิดเป็นเงาดำมืดจากตัวตนเดิมของตน

โยลันดาตระหนักว่าประตูสู่มิติอื่นอีกบานหนึ่งนั้นได้เปิดออกและได้สัมผัสกับบรรยากาศภายในลานโบสถ์ของหมู่บ้าน เธอสามารถสังเกตเห็นลำแสงสีดำของพลังงานพิษที่เล็ดลอดไปในอากาศ และแผ่อิทธิพลชั่วร้ายไปทั่วเนื้อหนังทุกส่วน ซึ่งนี่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาของผู้ใช้ที่ไม่ใช้เวทมนตร์ เสียงกรีดร้องอันน่าสะพรึงกลัวมาจากที่ไหนสักแห่งที่อยู่ลึกเข้าไปในโลกแห่งรอยแยกมิติ และกรงเล็บคู่หนึ่งและร่างปีศาจก็โผล่ออกมา เหล่าจอมเวทย์รุ่นเยาว์ต่างรู้ว่า ทักษะการต่อสู้ของพวกเขากำลังจะถูทดสอบขั้นสุดท้าย

โยลันดาใช้ความรู้ทั้งหมดของเธอเกี่ยวกับเวทมนตร์ลึกลับเพื่อทำร้ายสัตว์อสูร ซึ่งเธอนั้นได้ยักไหล่จากการโจมตีราวกับไร้ซึ่งอันตรายใด ๆ และยังสามารถฟื้นตัวจากฟ้าผ่าได้รวดเร็วเต็มที่ หรือสร้างเพลิงลุกโหมได้ในไม่กี่วินาทีเพื่อฟื้นฟูได้อย่างเต็มกำลัง พลังงานมืดจากภายในประตูสู่มิติดูเหมือนจะให้พลังแก่ปีศาจอีกครั้ง และซิลเวียแทบจะไม่สามารถสร้างเวทมนตร์แห่งแสงเพื่อปกป้องสิ่งมีชีวิตได้เลย แต่เวลาก็หมดลง ในตอนนั้นเองที่เวทมนตร์แห่งแสงระเบิดอย่างท่วมท้นปกคลุมเมืองและเผาสัตว์อสูรราบคาบเป็นจุล นักเวทย์อีกคนที่ว่าคือ? แต่ใครเล่าจะสามารถใช้เวทมนตร์เช่นนี้ได้? ผู้มาใหม่ขับไล่ความมืดรอบๆ หมู่บ้านและนำรอยแยกมิติกลับคืนมา ด้วยเหตุนี้ โยลันดาจึงถูกแต่งตั้งให้เข้าสู่รัศมีแห่งรุ่งอรุณโดยมหาจอมเวทย์-ที่ปรึกษา คนใหม่ของเธอและอุทิศให้กับงานอันยิ่งใหญ่เช่นเดียวกันกับการกอบกู้โลก

ปาฏิหาริย์เกิดขึ้น

กับคนที่ไม่ยอมแพ้

ทายาทดาบจันทรา

อิโมเจน

มีข้อสงสัยเล็กน้อยว่าราชินีแห่งทาลินองค์ใหม่ที่ไม่สามารถดำเนินการปฏิรูปได้น่าประทับใจสักเท่าใดนักหากไม่ได้รับการสนับสนุนและช่วยเหลือจากอิโมเจน คนสนิทของเธอผู้เป็นปรมาจารย์ดาบจันทราโบราณรวมถึงเป็นลูกหลานของผู้ก่อตั้งนครทาลิน และยังเป็นบุคคลที่เป็นเบื้องหลังขุมอำนาจและพลังของเทีย ความทุ่มเทของอิโมเจนต่อราชินีของเธอนั้นไม่มีลังเลเลย ในฐานะสาวกของดาบจันทรา อิโมเจนตระหนักดีถึงเรื่องราวของคำสาบานที่ปรมาจารย์ดาบจันทราคนแรกกับราชินี แอนนา อนิมาลายา สาบานตนเป็นอย่างดีเพื่อสร้างสังคมที่ปกครองโดยผู้ปกครองที่โดดเด่นด้วยการเสริมอำนาจของผู้หญิง เรื่องราวเล่าขานสืบมาว่า การก่อตั้งของเมืองทาลินในฐานะผู้ปกครองระดับสูงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของออเรลิกานั้นถูกเขียนขึ้นในช่วงเวลาของการก่อตั้ง

อิโมเจนนั้นแตกต่างจากราชินีของตนอย่างมากไม่ว่าทั้งในด้านอารมณ์ ความหนาวเย็นของการฝึกฝนอันโหดร้ายนานหลายปีในฐานะของปรมาจารย์ดาบจันทราทำให้นิสัยชอบยิ้มของเธอลดน้อยลง ตรงกันข้ามกับอารมณ์ฉุนเฉียวของเทียที่นับวันดูจะคุกรุ่นมากขึ้นเรื่อย ๆ ท้ายที่สุด ตำนานพื้นบ้านของนครทาลินนั้นมักมีความเชื่อมโยงเป็นพิเศษระหว่างเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ที่เป็นสตรีรูปงามอย่างแท้จริงกับเหล่าสตรีที่ถูกเรียกเข้ามาในการใช้ชีวิตที่เข้มงวดของปรมาจารย์ดาบจันทรา ซึ่งเป็นอาชีพที่กล่าวกันว่าไม่สามารถไปถึงได้สำหรับบุรุษทุกคนที่ขาดซึ่งพรจากเทพธิดาจันทรา ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามีเวทมนตร์แปลก ๆ เกิดขึ้นเนื่องจากคำสั่งลึกลับของนินจาหญิงว่าสามารถทำลายล้างจัดการศัตรูที่ทรงพลังด้วยใบมีดรูปพระจันทร์ การส่งเสริมอำนาจของสตรีนั้นเป็นที่มาแห่งความภาคภูมิใจพอ ๆ กับความรับผิดชอบในภาระหน้าที่ของปรมาจารย์ดาบจันทรารุ่นดั้งเดิม ที่รับผิดชอบในความปลอดภัยของทาลินส่วนใหญ่มาตลอดหลายศตวรรษ

ซึ่งเขาก็คืออิโมเจนนั้นเอง บางทีอาจจะเป็นมากกว่าผู้ช่วยและที่ปรึกษาที่ใกล้ชิดที่สุดของราชินีคนใหม่ที่ทำงานเบื้องหลังเพื่อ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเพื่อนของเธอยังคงยึดอำนาจไว้เหมือนเดิมตลอดการปฏิรูปครั้งยิ่งใหญ่ของสังคมทาลิน นักอนุรักษนิยมที่มีหัวใจและเป็นตัวแทนขององค์กรที่มีแนวคิดดั้งเดิมสูง อิโมเจนนั้นไม่สามารถปิดบังความรู้สึกไม่สบายใจที่เพิ่มขึ้นของเธอด้วยการปฏิรูปของเทียหรือภารกิจการก่อตั้งองค์กรของเธอเพื่อประกันความเป็นใหญ่ของนครทาลิน อิโมเจนแตกต่างจากพี่น้องของเธอบางคน เธอตระหนักดีว่าบางแง่มุมของสังคม ว่าชาวทาลินจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง และสนับสนุนและเคารพในความปรารถนาของราชินีของเธอที่จะทำตามที่เธอประสงค์ไว้ น่าเสียดายที่ความสงสัยของอิโมเจนยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อสังคมชาวทาลินไม่มีใครรู้จักผู้อาวุโสของตนและเมืองโดยรอบ

การทำลายล้าง

ไม่มีขอบเขต

ดาบแห่งศรัทธา

เรเชล

ป้อมปราการศักดิ์สิทธิ์นั้นมีเป้าหมายที่จะสานต่อ “เจตจำนงที่ยังคงมีชีวิต” ของเทพธิดาแห่งแสงในออเรลิก้าและมอบพรแห่งเทพธิดาให้กับมนุษยชาติ มีตำนานเล่าขานกันว่า เทพธิดาไม่ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในช่วงที่มีสงครามบนสวรรค์ แต่นางยังคงเป็นเทพที่คอยชี้แนะและปกปักษ์รักษาผู้ที่ศรัทธาในตัวนาง

แม้ว่าเป้าหมายของป้อมปราการศักดิ์สิทธิ์และรัศมีแห่งรุ่งอรุณจะมีที่มาจากรากเหง้าเดียวกัน แต่ทั้งสองภาคีกลับเดินคนละเส้นทาง เนื่องจากมีสิ่งที่รัศมีแห่งรุ่งอรุณมองว่า “แหกคอก” จากการรับเอาพลังที่ไม่บริสุทธิ์มาใช้นอกเหนือจากพลังแห่งแสง ในยุคแรกนั้น เวน อาร์คบิชอปแห่งป้อมปราการศักดิ์สิทธิ์ได้รับเอาสิ่งที่เรียกว่า “คำสอนทางเลือก” มาใช้และเชื่อว่าความเชื่อที่นอกเหนือจากเทพธิดาจะต้องถูกกำจัด และโอกาสที่เวนจะได้ชำระล้างศาสนาก็มาถึง เมื่อทั้งสองภาคีตัดสินใจแยกทางเดิน

nเมื่อป้อมปราการศักดิ์สิทธิ์ของเวนมีรากเหง้ามาจากเทพธิดาแห่งแสง เขาก็กำหนดให้นักบวชของเขาเลิกศรัทธาในความเชื่ออื่นๆ และหากไม่เป็นเช่นนั้น ก็จะต้องได้รับการเพิ่มพลังศรัทธาด้วยพิธีกรรมลี้ลับ ดังนั้นป้อมปราการศักดิ์สิทธิ์จึงจัดพิธีรวมตัวสาวกอันยิ่งใหญ่เพื่อเพิ่มพลังธาตุแสงสว่างของออเรลิก้า อย่างไรก็ตาม ในขณะที่พิธีกรรมใหญ่โตและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ความมืดก็คืบคลานเข้ามาเช่นกัน โดยเฉพาะในหัวใจของมนุษย์ แน่นอนว่ามีเพียงสมาชิกระดับสูงของภาคีเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้และพยายามปิดบังความจริง

เมื่อเวลาได้ล่วงเลยไป ป้อมปราการศักดิ์สิทธิ์ที่เคยยิ่งใหญ่ได้รับการดูแลโดยอาร์คบิชอปเรเชลผู้ใจดีและทุ่มเท การวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ทำให้นางพบว่าแท้ที่จริงแล้วภาคีของนางเลือกทางเดินผิดพลาดมาตลอดและนางก็เป็นเพียงหุ่นเชิดของผู้อาวุโสที่คอยเยาะเย้ยถากถาง อย่างไรก็ตาม เรเชลตั้งใจที่จะยุติการโฆษณาชวนเชื่อและกลไกการปลูกฝังข้อมูลแบบผิดๆ เพื่อปกป้องดินแดนในนามของแสงสว่าง นอกจากนี้นางยังได้ตระหนักถึงผลร้ายของพิธีกรรมเพิ่มพลังแห่งแสงของภาคี และได้ทำการสอบสวนรวมถึงยุติพิธีกรรมดังกล่าว นางเชื่อว่าพลังแห่งเทพธิดายังคอยอยู่เคียงข้างนาง

nอาร์คบิชอปเรเชลเป็นเพียงหุ่นเชิดของเอดิซิส อดีตผู้พิทักษ์หัวโบราณและ ยูไรอัน นักจักรวรรดินิยม ทั้งคู่ต่างใช้ความนิยมของเรเชลเพื่อประโยชน์ส่วนตน แต่ในทางกลับกัน เรเชลนั้นฉลาดกว่าที่พวกเขาสองคนคิด และนางมีความกล้าหาญและปัญญาที่จะเชื่อมั่นในแสงและความถูกต้องอย่างเงียบๆ โดยเลือกที่จะไม่เสียเวลาทะเลาะกันในเรื่องยิบย่อย แท้จริงแล้วนางมีจุดประสงค์ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น คือการปฏิรูปภาคีทั้งหมดจากภายใน

แสงอันจริงแท้

จะส่องสว่างไปยังทุกสิ่ง!

ลอร์ดน้ำค้างแข็ง

เบลล่า

ก่อนเนโรขึ้นครองบัลลังก์เฮอชิงเบิร์ก ไม่เคยมีสมาชิกราชวงศ์คนไหนเหลือบแลลูกสามัญชนชั้นต่ำคนนี้มาก่อน ในสายตาของทุกคน เขาเป็นแค่เบี้ยตัวจิ๋วบนหมากกระดานชิงบัลลังก์ และสำหรับศึกชิงบัลลังก์ครั้งนี้ มีตัวเต็งอยู่เพียงสองคนในบรรดาโอรส 11 องค์ของราชาไรน์ฮาร์ดต์ นั่นคือ เจ้าชายองค์ที่เจ็ดซึ่งมีผู้ตรวจการระดับสูงคอยหนุนหลัง และเจ้าชายองค์โตที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับป้อมปราการศักดิ์สิทธิ์

เนโรเข้ามาอยู่ในราชสำนักได้ แม้เป็นเพียงบุตรของนางสนมเพราะเขามีสถานะพิเศษเป็น “เด็กที่ถือดำกำเนิดในคืนเดือนดับ” แต่ถึงอย่างนั้น ก็มีแค่ไรน์ฮาร์ดต์ผู้งมงายเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยึดถือตามคำพูดของโหราจารย์ว่า “เด็กที่ถือกำเนิดในคืนเดือนดับมีชะตาว่าจะครอบครองพลังทำลายล้างอันน่าเกรงขาม” บางทีคำทำนายนี้เองที่ทำให้ชะตาชีวิตของเนโรต้องพลิกผัน

เขาชินชากับการอยู่ตามลำพังท่ามกลางสายตาที่เดียดฉันท์จากผู้มีอำนาจ โดยไม่มีผู้ใดใส่ใจว่าเขาจะอยู่หรือตาย แม่เขาที่เป็นหญิงรับใช้ธรรมดาพยายามปกป้องเขาจากการแย่งชิงอำนาจด้วยการเลือกรับใช้เจ้าหญิงเมซี มารดาของเจ้าชายองค์ที่เจ็ดผู้ได้รับความโปรดปราน นางเป็นสตรีที่ถือตนและทรงอำนาจที่แสดงท่าทีชิงชังเนโรและแม่ของเขา แต่กลับปั้นหน้าว่ายอมรับสองแม่ลูกเพื่อให้ไรน์ฮาร์ดต์เห็นนางเป็นคนดีมีเมตตา เนโรจำได้ว่าแม่ของเขาต้องทนทุกข์ทรมานและทนคำดูถูกในตำหนักของเจ้าหญิงเมซีเพื่อให้เขาสามารถเข้าศึกษาเล่าเรียนวิชาและเวทมนตร์ที่สถาบันพร้อมกับเจ้าชายองค์ที่เจ็ดได้ พอตกกลางคืน นางจะสั่งให้เขาฝึกฝนคาถา การต่อสู้ และทักษะอื่น ๆ อย่างเข้มงวดเพื่อให้เขาแข็งแกร่งขึ้น

ท้ายที่สุด เมื่อเนโรปลุกพลังน้ำแข็งตามสายเลือดระหว่างสู้ศึกที่หฤโหดได้สำเร็จ เขาก็ตระหนักว่าคำทำนายของโหราจารย์นั้นเป็นความจริงมาโดยตลอด เนโรที่นิ่งเฉยมาตลอดหลายปีสบโอกาสโต้กลับแล้วในที่สุด ในขณะที่ไรน์ฮาร์ดต์กำลังนอนซมอยู่นี้ ผู้คนที่เคยเกลียดชังเขาในอดีตจะต้องชดใช้ในสิ่งที่ทำลงไปเสียที…

เหล่าทหารไม่ย่ำเกรง

ต่ออุปสรรคเล็กน้อย

พาราดินที่เจิดจรัส

ไกโรนูล

ไกโรนูลเคยเป็นพาราดินผู้ยิ่งใหญ่แห่งวิหารภาคีศักดิ์สิทธิ์ นางได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ครอบครองฉมวกศักดิ์สิทธิ์ในพิธีบัพติศ พร้อมรับตราประทับของเทพแห่งไฟ ผู้ตรวจการณ์แห่งภาคี

ไกโรนูลคุ้นชินกับความป่าเถื่อนในสนามรบเป็นอย่างดี นางได้รับความช่วยเหลือจากพาราดินวิหารจากการต่อสู้ครั้งแรกของนางขณะที่นางอายุ 10 ขวบ หลังจากนั้นนางได้เข้าร่วมกลุ่มในภาคี มันคือยุคแห่งความมืดมืดที่ดูเหมือนพลังแห่งกลียุคจะเข้าครอบงำออเรลิก้า และนั่นเป็นตอนที่ไกโรนูลสาบานว่าจะปกป้องคุ้มครองดินแดนของนางจากความมืดด้วยความสามารถทั้งหมดที่ตัวเองมี

ไกโรนูลต่อสู้ด้วยความกล้าหาญอย่างไม่สนชีวิตของตัวเอง แต่น่าเศร้าที่นางต้องสูญเสียร่างกายและความแข็งแกร่งของตัวเองในการต่อสู้ที่เอาชีวิตของนาง แต่ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นเพราะนางรอดชีวิต ฉมวกศักดิ์สิทธิ์คือช่องทางในการเอาชีวิตรอด สิ่งที่ไกโรนูลเจอในอีกด้านหนึ่งไม่ใช่ความตาย แต่เป็นการหลับใหลในความว่างเปล่า

ไกโรนูลรู้สึกว่าตัวเองฟื้นคืนชีพอีกครั้งในหลายพันปีต่อมา นางรู้ทันทีว่าทำไมนางถึงกลับมามีลมหายใจ นางมาเพื่อปกป้องออเรลิก้าอีกครั้ง

คิดทบทวนถึงบาปของเจ้าซะ

อสูร!

นายพลไร้หน้า

ดาร์ซี

ครั้งหนึ่งนางเคยเป็นแม่ทัพหญิงที่มีชื่อเสียงที่สุดในจักรวรรดิ ไม่มีขุนนางหรือเจ้าพนักงานคนใดสามารถเทียบเคียงนางได้ นางกลายเป็นฮีโร่ที่ทุกคนต่างยกย่องในความพยายามของนางในการปราบผู้บุกรุกที่ชายแดน แต่เหมือนโชคชะตาจะเล่นตลก นางคงไม่นึกว่าความซื่อตรงและการไม่หือไม่อือของตนเองจะทำให้นางกลายเป็นหนามตำตาขุนนางจำนวนนึง

เพราะไม่อยากให้ธุรกิจลักลอบขนส่งสินค้าของตระกูลนางถูกเปิดโปง ลิเดียได้พยายามติดสินบนนายพลหญิงหน้าเหล็กนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ถูกปฏิเสธอยู่ร่ำไป อยู่มาคืนหนึ่งนางต้องต่อสู้เอาตัวรอดจากผู้บุกรุกจนได้รอยฟกช้ำและแผลเป็น นางต้องปลอมตัวอยู่รวมกับกลุ่มทาสเพื่อหนีคนที่ไล่ล่านางให้พ้น และสุดท้ายนางก็ถูกขายให้กับอารีน่ากลาดิเอเตอร์ของจักรวรรดิ

นางรู้ว่าแม้นางจะหลบหนีไปได้ แต่ถึงยังไงก็ไม่มีที่ยืนสำหรับนางในจักรวรรดิอยู่ดี ด้วยเหตุนี้ นางจึงสวมหมวกเหล็กและกลายเป็นนักสู้ดาวรุ่งพุ่งแรงในอารีน่าภายใต้ชื่อดาร์ซี นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จักรวรรดิได้สูญเสียนายพลหญิงผู้องอาจ และได้นักสู้หญิงผู้กล้าหาญและโหดเหี้ยมในอารีน่ามาแทน

ข้าคือฝันร้ายที่สุด

ของเจ้า

แสงลึกลับ

ยูไรอัน

ในฐานะมนุษย์คนสุดท้ายที่เหลืออยู่จากอดีตเมืองทาลินฟอลล์ ยูไรอันเป็นหนึ่งในหลาย ๆ องค์ประกอบ หลังจากรอดชีวิต หรือเขานั้นมีสิทธิ์ที่จะเป็นสาเหตุของการล่มสลายของทาลินฟอลล์ ยูไรอันใช้ชีวิตอย่างระแวดระวังตัวทุกฝีก้าว

ชีวิตของยูไรอัน เริ่มต้นขึ้นเมื่อเขาถูกสร้างขึ้นในห้องทดลองโดย เอดิคริส และกลอเรีย เอดิคริส และ กลอเรีย ต่างก็อุทิศตนเพื่อถ่ายทอดพลังของไททัน ยูไรอัน เป็นสิ่งมีชีวิตกลุ่มแรกที่สร้างขึ้นจากพลังงานแสงล้วนๆ นอกเหนือจากไททัน

ถึงเวลารับการล้างบาป

แห่งแสงของเจ้า!

ดัชเชสกังฉิน

ลิเดีย

ลิเดียเป็นลูกสาวของอดีตผู้ตรวจการระดับสูงของจักรวรรดิ เธอสืบทอดตำแหน่งบิดาของเธอตั้งแต่อายุยังน้อย และได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการฝ่ายการเงินของบ้านที่มั่งคั่งที่สุดแห่งหนึ่งในจักรวรรดิในขณะที่ยังเป็นพวกหนุ่มสาวตอนปลาย ความมั่งคั่งที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งของลิเดียทำให้เธอมีโอกาสเหลือเฟือที่จะมอบให้กับรองทุกแห่งที่เกี่ยวข้องกับความโลภเท่าที่จะจินตนาการได้ และลิเดียยังคงสร้างความมั่งคั่งให้ครอบครัวต่อไปโดยมีส่วนร่วมในการค้าขายที่คลุมเครือหรือผิดศีลธรรมซึ่งไม่มีใครแตะต้องโดยบ้านหลังอื่น ซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มการค้าขนาดใหญ่ของเธอ ในทาสออร์ก ซึ่งทำให้ครอบครัวของเธออาจร่ำรวยที่สุดใน ออเรลิกา ได้อย่างรวดเร็ว แน่นอนว่ามิตรภาพที่ดีย่อมมาพร้อมกับความมั่งคั่งมหาศาล ศัตรูไม่กี่คนที่กล้าต่อต้านลิเดียจะถูกปิดปากหากไม่ใช่เพราะคำมั่นสัญญาแห่งความมั่งคั่งมหาศาล จากนั้นตามคำสั่งของหนึ่งในผู้ลอบสังหารหรือผู้ใต้บังคับบัญชาที่ไม่ซื่อสัตย์ที่เต็มใจรับข้อเสนอของเธอ

ครอบครัวของลิเดียมาเพื่อแสดงถึงความเข้มข้นของจักรวรรดิ ความมั่งคั่งอยู่ในมือของตระกูลขุนนางจำนวนไม่มาก แนวโน้มที่ดูเหมือนว่าจะดำเนินต่อไปเมื่อลิเดียเปลี่ยนทักษะการจัดการเงินที่มีความสามารถและสายตาในการบริหารไปสู่การได้มาซึ่งเผ่าพันธุ์ใหม่และดินแดนใหม่สำหรับจักรวรรดิเพื่อขยาย “ธุรกิจ” ของครอบครัวของเธอไปจนถึงสุดขอบออเรลิกา

จ่ายด้วยชีวิต

ของเจ้า

นักโหราศาสตร์ไขลาน

การ์เน็ต

การ์เน็ตใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตวัยเด็กไปกับการถูกขังอยู่ในบ้านของพ่อแม่บุญธรรมของนาง เนื่องจากอาการป่วยที่เกิดจากการต้องคำสาป ในแต่ละวันนางไม่มีกิจกรรมให้ทำมากนักนอกจากการอ่านคัมภีร์โหราศาสตร์และศึกษาเครื่องมือที่ตั้งอยู่เป็นกองเต็มห้องหนังสือของพ่อแม่นาง ซึ่งเป็นนักโหราศาสตร์ในราชสำนัก ไม่นานหลังจากนั้นพ่อแม่บุญธรรมของการ์เน็ตก็เริ่มหงุดหงิดใจกับความต้องการของหญิงสาวที่มีร่างกายอ่อนแอคนนี้ พวกเขาเริ่มทำตัวเย็นชา ในที่สุดแม่ก็ให้กำเนิดลูกชายซึ่งเป็น “น้องชาย” ของการ์เน็ต จากนั้นไม่นานเขาก็กลายเป็นศูนย์กลางความสนใจของคนทั้งบ้าน ในระหว่างการปรึกษาหารือทางโหราศาสตร์ที่จัดขึ้นเป็นประจำ มูเรียล ภรรยาของดยุคในท้องถิ่นได้สังเกตเห็นการ์เน็ตผู้ซึ่งดูไม่สำคัญในห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ และรู้สึกถูกใจกับนิสัยที่ดูสงบและเป็นผู้ใหญ่ของนางในทันที นางค่อนข้างประหลาดใจที่ไม่มีใครแนะนำการ์เน็ต เด็กสาวที่ทำให้มูเรียลนึกถึงลูกสาวที่นางเสียไปเมื่อหลายปีก่อน มูเรียลอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปหาการ์เน็ตและยื่นมือให้เธออย่างอบอุ่น พร้อมถามว่า “เธออยากมากับฉันไหม? ฉันจะพาเธอไปดูโลกที่กว้างใหญ่กว่ากำแพงทั้งสี่นี้” การ์เน็ตไม่ใช่คนโง่ และนางรู้ว่านางมีตัวเลือกไม่มากนัก นางตอบตกลงและออกเดินทางไปกับมูเรียลในวันเดียวกันนั้นโดยทันที แต่นางมีข้อแม้อย่างนึงว่านางต้องได้รับอนุญาตให้นำเครื่องมือโหราศาสตร์ของตัวเองติดตัวไปด้วย มูเรียลรู้ทันทีว่าการ์เน็ตมีความสามารถมากพอที่จะทำอะไรที่ไม่ธรรมดาหากนางไม่อยู่ในร่างที่อ่อนแอแบบนี้ ด้วยเหตุนี้ มูเรียลถึงขนาดลงทุนสร้างกลไกอัศจรรย์จากน้ำมือของฮาร์เบก ลาวาเพลิง คนแคระหัวหน้าช่างตีเหล็กผู้โด่งดัง และเหมือนโชคชะตาเข้าข้าง กลไกนี้ได้เปลี่ยนร่างกายของการ์เน็ตให้กลายเป็นครึ่งทองแดงครึ่งเวทมนตร์ ซึ่งช่วยปกป้องนางจากอันตรายจากโลกภายนอก พ่อแม่บุญธรรมของการ์เน็ตไม่เคยรู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงของอาการป่วยของนาง อันที่จริงแล้ว สาเหตุที่ร่างกายของนางอ่อนแอเป็นเพราะเวทมนตร์มหาศาลภายในร่างกายของการ์เน็ตนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ร่างกายมนุษย์จะรับไหว พลังเวทมนตร์ในตัวของนางนี้ยังเป็นสิ่งที่อธิบายความถนัดในด้านโหราศาสตร์ของนางอีกด้วย มูเรียลประทับใจกับ “โครงการ” ใหม่ของตัวเอง และได้ใช้ทรัพยากรที่นางมีเป็นจำนวนมากไปกับการฝึกของนักเวทย์ชั้นยอด พร้อมใช้ประโยชน์จากเกราะป้องกันที่ฮาร์เบกสร้างขึ้นมา นับตั้งแต่นั้นมาความสัมพันธ์ระหว่างมูเรียลกับการ์เน็ตก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป การ์เน็ตพอใจกับการเป็นนักฆ่าประจำตัวของมูเรียลเมื่อมีความขัดแย้งระหว่างขุนนางตราบใดที่นางยังสามารถใช้เวลาว่างที่เหลือของตัวเองไปกับการศึกษาดวงดาว

นี่คือจุดจบของ

เรื่องราวของเจ้า

เจ้าหญิงแห่งลาเซอ

อีฟลิน เฟิร์สดอว์น

วาเลเรียเองที่ทำให้พ่อของฉันเข้าสู่ความมืด ฉันหวงแหนและคอยให้ความหวังเสมอว่าบางสิ่งจะพาเขากลับมา… แต่ตอนนี้ต้องยอมรับถึงความไร้ประโยชน์ของมันให้ได้

ฉันไม่ได้เป็นเพียงลูกสาวของนิคลอสเท่านั้น แต่ยังเป็นทายาทของนักบวชแห่งแสง และเช่นเดียวกับแม่ของฉัน ที่ได้รับความไว้วางใจจากภาระผูกพันอันศักดิ์สิทธิ์ในการปกป้องแผ่นดินของเรา การตามล่าล้างแค้นของพ่อฉันไม่มีวันสำเร็จจนกว่าออเรลิกาจะพังทลาย ฉันยังคงรักพ่อแม้ในขณะเดียวเองก็ประณามการกระทำของเขา ฉันไม่ต้องการที่จะต่อสู้กับพ่อของตัวเอง แต่นี่คือถ้วยที่ฉันได้รับมอบมา และการต่อสู้เองก็หลีกเลี่ยงไม่ได้

โยลันดาเคยบอกฉันว่าการรวบรวมความแข็งแกร่งเพื่อต่อสู้กับอสูรความมืดนั้นย่อมดีกว่าการดึงวิญญาณกลับมาจากมือของเขาได้ แต่ตอนนี้ฉันพบว่าตัวเองไม่สามารถทำได้ด้วยเช่นกัน ฉันสัมผัสได้ว่าความมืดเข้าครอบงำฉันอย่างใด ความเชื่อมโยงที่ฉันมีกับแสงศักดิ์สิทธิ์ผ่านแม่ของฉันยังคงอยู่ภายใน แต่เมื่อฉันพยายามสื่อสารกับมัน ฉันพบว่ามันหลุดพ้นจากเงื้อมมือของฉันไปเสียแล้ว เกิดอะไรขึ้นกับฉัน

โยลันดาขอให้ฉันค้นหามรดกตกทอดที่แม่ของฉันทิ้งไว้ ไม่ใช่แค่สัญลักษณ์แห่งความรักจาก แต่เป็นเครื่องมือที่สามารถช่วยฉันในการเชื่อมต่อกับแสงสว่างได้ มงกุฎของลาเซอนั้นบอกฉันว่าฉันควรจะเป็นใคร ตราบนธงเกาะราชาศักดิ์สิทธิ์นั้นได้บอกฉันว่าฉันควรวางใจใคร ดาบยาวอันยิ่งใหญ่ของไคซัสนั้นหมายถึงความกล้าหาญ และชุดเกราะสีทองของราชาคนแคระนั้นมีความหมายถึงการปกป้องผู้อื่น

ฉันไม่สามารถปลุกแสงสว่างภายในตัวให้ตื่นขึ้นได้หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากสหายผู้ภักดี ผู้มอบปีกไว้ที่แผ่นหลังของฉัน ถึงเวลาที่จะยกดาบของเราขึ้นเพื่อต่อสู้กับอสูรความมืด! บุกไปข้างหน้า!

ขอให้ดาบแห่งแสงสว่าง

พิฆาตความมืด!

ราชากังฉิน

นิคลอส

รัฐบุรุษผู้มีวิสัยทัศน์ซึ่งคนรุ่นหลังรู้จักกันในนาม “กษัตริย์ศักดิ์สิทธิ์คาร์ลอส” นั้นเป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักรลาเซอ แต่การสิ้นพระชนม์ก่อนวัยอันควรของเขายังคงทำให้ประชาชนของเขาไม่พร้อมสำหรับการถูกรุกรานของเมืองที่มีขุมอำนาจเมืองอื่น ๆ ในที่สุดลาเซอก็พังทลายลงตามกาลเวลาของอาณาจักรเฮอชิงเบิร์กที่กำลังได้ขยายไปสู่อาณาจักรใกล้เคียงอย่างรวดเร็วด้วยอานุภาพของตนที่มีท่วมท้น อดีตมหาอำนาจของลาเซอได้ถูกลดขนาดลงเหลือเพียงรัฐประเทศราชของจักรวรรดิ และนิคลอสทายาทสายตรงแห่งมหาราชาศักดิสิทธ์นั้นได้ถูกบังคับให้ประณามราชสำนักตั้งแต่อายุยังน้อยเพื่อรับประกันความปลอดภัยของประชาชน

โดยนิคลอสนั้นพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นมือขวาที่มีความสามารถต่อดยุคผู้เป็นพ่อ เขานั้นทั้งแข็งแกร่ง มั่นใจ และกระตือรือร้นด้วยความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ในการ
กอบกู้ความรุ่งโรจน์ที่หายไปของลาเซอ นิคลอส ยังได้พัฒนาบางสิ่งในหมู่ทหารองครักษ์ของจักรวรรดิในระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งกัปตันในกรมทหารเฮอชิงเบิร์กมาอย่างยาวนานตามความเหมาะสมกับบุตรชายของผู้ปกครองของรัฐข้าราชบริพารที่อยู่ใต้บังคับบัญชา ทั้งคำสั่งทางการทหารของนิคลอส ประสบการณ์ภาคสนามและการฑูตที่เสนอโดยพระสันตะปาปาวาเลเรียซึ่งเป็นที่ปรึกษาที่เชื่อถือได้นั้น ได้แสดงเห็นว่าดวงเมืองของนครลาเซอเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเปรียบเทียบกับอาณาจักร “แม่” ของตน และได้เปลี่ยนแปลงยกระดับให้กลายเป็น “สาธารณรัฐดัชชี” น่าเสียดายที่ความนิยมกลุ่มใหม่ของดยุคในเวลาต่อมานั้นกลายเป็นหนามข้างกายที่น่าสมเพชของจักรพรรดิเนโรองค์ใหม่ซึ่งมีอายุน้อยกว่า ซึ่งพระองค์นั้นตระหนักดีว่าการทะเลาะโต้เถียงกันในศาลอาจทำให้ตำแหน่งของเขาต้องถึงกับสั่นคลอน ซึ่งนั่นนับเป็นสัญญาณแรกที่แสดงถึงความอ่อนแอ จักรพรรดิวางแผนเพื่อกีดกันดยุคของภรรยาและลูกสาวของเขา จากนั้นถอดเขาออกจากการบังคับบัญชาของจักรวรรดิและกองทหารของเขาในแบบที่น่าขายหน้า แม้ว่าชะตากรรมของนิคลอสก็ยังถูกผูกมัดด้วยพลังแห่งความมืดที่อยู่เหนือตราประทับใกล้กับหลุมฝังศพของบรรพบุรุษของเขา ไม่ว่าจะเป็นเพราะการกระทำของราชาผู้ศักดิ์สิทธิ์หรือเหตุผลอื่นใด ๆ ก็ตาม นิคลอสเริ่มได้ยินเสียงแผ่วเบา กระซิบในยามค่ำคืนเพื่อให้กำลังใจเขาบนเส้นทางแห่งการล้างแค้นและไกลจากแนวคิดในอุดมคติของผู้ปกครองที่กษัตริย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์กำหนดไว้ ดาพบของราชองครักษ์ที่แขวนอยู่เหนืออาณาจักรลาเซอตลอดเวลาราวกับมีดที่คอของผู้คนนั้นทำให้ และนิคลอสหมดหวังที่จะแก้ปัญหาของเขาจนทำให้เขารับฟังแผนการที่เลวร้ายและน่าสะพรึงกลัวที่สุดของวาเลเรีย

คุกเข่าลงซะ!

โลกนี้เป็นของข้า!

ราชากังฉิน

นิคลอสผู้มืดมน

การทรยศของดยุคนิคลอสต่อจักรวรรดิเฮอชิงเบิร์กแทบจะไม่น่าแปลกใจเลยสำหรับบรรดาขุนนางที่มีตาแหลมคมต่อสถานการณ์ปัจจุบัน จักรพรรดินีโรแห่งราชวงศ์เฮอชิงเบิร์กองค์ใหม่ได้สร้างชื่อเสียงให้กับความขุ่นเคืองต่อทายาทของกษัตริย์ศักดิ์สิทธิ์และขุนนางของพวกเขาเมื่อถึงเวลาที่รัฐข้าราชบริพารตัดตัวเองออกจากจักรวรรดิด้วยการก่อกบฏอย่างเปิดเผย ทว่าจักรพรรดิได้ประเมินความแข็งแกร่งแห่งความมุ่งมั่นของนิคลอสต่ำเกินไป สุดท้ายจึงพบว่ามีการไว้ทุกข์มากมายในเมืองหลวงของจักรวรรดิ ในวันที่ประกาศการแยกตัวระหว่างนายพลและทหารที่ฉลาดกว่าตนออกไป

แต่ถึงกระนั้นด้วยอำนาจของจักรวรรดินั้น เขาจึงนับได้ว่าเป็นผู้ก็มีชัย ซึ่งในไม่ช้านั้นลาเซอก็ได้พบว่าตนนั้นสูญเสียดินแดนไปมากกว่าครึ่งหนึ่งของดินแดนเดิมที่มีทว่าจักรพรรดิได้ประเมินความแข็งแกร่งแห่งความมุ่งมั่นของนิคลอสต่ำเกินไป และมีการไว้ทุกข์มากมายในเมืองหลวงของจักรวรรดิในวันที่ประกาศการแยกตัวระหว่างนายพลและทหารที่ฉลาดกว่าเขา ถึงกระนั้นพลังของจักรวรรดิก็มีชัย และในไม่ช้าลาเซอก็พบว่านครของตัวเองสูญเสียพื้นที่ไปมากกว่าครึ่งหนึ่งของดินแดนที่มีเดิม ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สิ้นหวังนี้เองที่พระสันตะปาปาวาเลเรียแห่งภาคีอัคคีศักดิ์สิทธิ์พบโอกาสที่จะย้ายข้อเสนอแนะที่รอคอยมายาวนานของตน นั่นคือการไปเยือนเกาะแห่งโฮลี่คิงคาร์ลอสด้วยความหวังว่าพลังอันยิ่งใหญ่บางอย่างอาจถูกผนึกไว้ภายในหลุมฝังศพของตนด้วย การเดินทางบังคับให้ต้องผนึกเวทมนตร์มืดใกล้กับสุสานของกษัตริย์ศักดิ์สิทธิ์และได้ค้นพบสองสิ่งทันที รอยแยกมิติได้เปิดขึ้นที่นี่ในอดีตจากระนาบของพลังงานที่บริสุทธิ์และวุ่นวาย และประการที่สอง ใด ๆ แรงที่จะใช้พลังงานดังกล่าวจะกลายเป็นอมตะอย่างได้ผล! นี่เป็นเหตุผลเพียงพอสำหรับนิคลอสที่จะตะลุยในเวทมนตร์ที่เขาไม่เข้าใจเพื่อช่วยผู้คนของเขาและแก้แค้นให้กับเฮอชิงเบิร์กที่เขานั้นแสนเกลียดชัง

วันแห่งการพิพากษาของเจ้า

มาถึงแล้ว!

หญิงยั่วยวน

วาเลอเรีย

วาเลเรียเป็นนักบวชหญิงชั้นสูงแห่งลาเซอ พระสันตะปาปาแห่งไฟศักดิ์สิทธิ์ และเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่สุดในแผ่นดิน ยกเว้นดยุคแห่งลาเซอเอง การควบคุมของวาเลเรียเหนือภาคีไฟศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นองค์กรทางศาสนาที่ก่อตั้งโดยราชา
ศักดิ์สิทธิ์คาร์ลอสในระหว่างการต่อสู้กับอสูรความมืดบ่งบอกถึงความชอบธรรมต่ออำนาจของเธอโดยไม่ต้องสงสัย ชาวลาเซอนั้นยังคงมั่นใจได้ว่า ภาคีผู้บูชาแสงและไฟศักดิ์สิทธิ์ จะยังคงนำทางอาณาจักรต่อไปให้ผ่านห้วงเวลาที่ยากลำบากเหล่านี้ ซึ่งทางดยุคนั้นก็ได้รับการสนับสนุนด้วยภักดีอันล้นพ้นจากนักบวชหญิงชั้นสูงของพระองค์ให้การปกป้องคุ้มครองพสกนิกรของตน

ทางวาเลเรียนั้นได้รับหน้าที่เป็นอัครทูตผู้ภักดีของภาคีมาเป็นเวลานานหลายปีก่อนจะเสด็จขึ้นครองตำแหน่งสังฆราช – โดยเธอนั้นได้ออกเดินทางไปยังลาเซอ เผยแพร่คำสอนและวัจนะของผู้บูชาแสงแห่งไฟศักดิ์สิทธิ์ให้กับผู้คน คอยรับฟังคำร้องเรียนของพลเมือง แก้ไขปัญหา และคัดสรรเหล่านักบวชฝึกหัดเพิ่มเติม

โดยการรับใช้มานานหลายทศวรรษของเธอนั้นทำให้ได้รับรางวัลในอีกหลายปี ๆ ต่อมา จากนั้นตามมาด้วยพิธีบรมราชาภิเษกในฐานะสมเด็จพระสันตะปาปาองค์ใหม่ ซึ่งได้รับเสียงไชโยโห่ร้องจากประชาชนและเพื่อนร่วมงานของเธอ รู้สึกยินดีกับความคาดหวังของผู้นำคนใหม่ที่เคร่งศาสนาเช่นนี้ นิคลอสตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าวาเลเรียสนใจด้านการเมืองและเศรษฐศาสตร์ และลาเซอเริ่มรุ่งเรืองอย่างมากภายใต้การปฏิรูปต่างๆ ของวาเลเรีย ในที่สุดก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากรัฐข้าราชบริพารเป็น “ดัชชี” ภายในอำนาจสูงสุดของจักรวรรดิ วาเลเรียอาจดูไม่มีค่าราคาอะไรเลย หากเธอไม่ใช่ผู้รับใช้ที่เคร่งศาสนาของดยุคนิคลอสผู้ยิ่งใหญ่ในราชสำนัก ณ ห้วงเวลานี้ และแม้ว่าดยุคเองก็อาจไม่ได้ตระหนักถึงขอบเขตของพลังที่แท้จริงของวาเลเรียในลาเซอ รวมถึงที่เธอสามารถทำอะไรต่าง ๆ ได้สำเร็จรวดเร็วอย่างชื่อ

“โอ จงสดับถึงเจตจำนึงของเทพธิดา และนำทางเจ้าไป โอ เหล่าวิญญาณที่น่าสงสาร โอ เหล่านักเดินทางผู้เร่ร่อน!”

เจ้ารู้ไหม

ว่าข้าคือใคร?

วิญญาณฉลาม

อันเดรวิญญาณฉลาม

เรือที่ดำทะมึนได้เดินทางผ่านน่านน้ำดำมืดเพื่อส่งวัตถุต้องคำสาปไปตามท้องทะเลอันเงียบสงบ เมื่อมีความเชื่อว่าจุดอ่อนทางร่ายกายมนุษย์ที่อ่อนแอต่อความรุนแรงสามารถแก้ไขด้วยการใช้หุ่นที่สามารถต้านทานเวทมนตร์รุนแรง จึงได้มีการสร้างหุ่นเหล็กนี้ขึ้น อย่างไรก็ตามในเวลานี้ เหล่าลูกเรือกำลังจะปลดปล่อยหุ่นเหล็กลงสู่ท้องทะเล!

เกราะเหล็กปลุกเสกนี้มีชื่อว่า “อังเดร” ซึ่งเป็นผลงานชั้นยอดของพ่อมดที่ปราดเปรื่อง ผลงานนี้ทำให้พ่อมดที่ความสามารถด้อยกว่ารู้สึกหวาดกลัว พวกเขาจึงวางแผนกำจัดเกราะเหล็กนี้ แต่เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถทำอันตรายใดๆ ต่อเกราะเหล็กนี้ได้เลย พวกเขาจึงลอบส่งมันไปอยู่ในที่ๆ ไม่มีใครหามันพบ และนั่นก็คือใต้ท้องทะเลลึก แต่พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่า อังเดรจะช่วย “เมกาโลดอน” ฉลามจอมกระหายเลือดที่กลายเป็นซากไปแล้วให้กลับฟื้นคืนชีพอีกครั้ง

ในอดีต เมกาโลดอนเคยเป็นเจ้าแห่งท้องทะเล ในช่วงที่เขามีชีวิตอยู่เขาได้เรียนรู้วิธีรักษาจิตวิญญาณของเขาเอาไว้ แม้ร่างกายจะย่อยสลายไปแล้ว ในเวลาต่อมาเขาได้ถูกจับได้และล่ามเอาไว้กับ “สมอวินาศ” ที่ก้นทะเลลึกเป็นเวลาหลายร้อยปี แม้ว่าพลังจะอ่อนแอลงอย่างมาก แต่เมื่ออังเดรที่จมลงสู่ก้นทะเล ตกลงไปข้างวิญญาณของฉลามยักษ์ มันก็เพียงพอที่จะช่วยให้เมกาโลดอนเข้าไปสิงอยู่ในเกราะเหล็กอังเดรได้ และเป็นเรื่องบังเอิญอย่างมากที่ธาตุของเมกาโลดอนและอังเดรนั้นเข้ากันได้อย่างลงตัว และทำให้เขาสามารถควบคุมสมอวินาศได้และใช้มันเป็นอาวุธได้อย่างยอดเยี่ยม

“พวกมนุษย์! แม้บรรพบุรุษของเจ้าจะตายไปแล้ว แต่ข้าจะไม่มีวันยกโทษให้พวกเจ้า ข้าถูกจองจำมาเป็นเวลาหลายร้อยปี! และพวกเจ้าจะต้องชดใช้!” เมกาโลดอนยกสมอวินาศขึ้นจากผืนทรายด้วยมือเหล็กของอังเดร การแก้แค้นกำลังจะเกิดขึ้น…

ไม่มีใคร

ขวางข้าได้

เปลวไฟแห่งความสิ้นหวัง

บอลเบอริธ

ผู้บัญชาการภูตจากโลกโบราณบอลเบอริธดำรงอยู่ก่อนที่ทวีปออเรลิกาจะกำเนิดขึ้นและมีโอกาสที่จะคงอยู่หลังจากการทำลายล้าง ทูตแห่งความโกลาหลเจ้าเล่ห์บอลเบอริธเป็นคู่ต่อสู้ที่อันตรายยิ่งกว่าสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่รู้จัก ดาบทั้งสองเล่มของเขานั้นอาบด้วยพลังแห่งปีศาจเพื่อช่วยสร้างความหวาดกลัวให้กับคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอ และปีกของกระดูกของเขาเองก็เป็นดาบที่อันตราย แม้ว่าจะมีน้อยคนที่สามารถเอาชีวิตรอดจากการเผชิญหน้ากับบัลเบริธเพื่อรายงานแจ้งให้ผู้อื่นทราบถึงข้อเท็จจริงที่ว่านี้

ไม่ค่อยมีใครใคร่รู้จักบัลเบริธนัก ยกเว้นในบางช่วงที่เขาพ่ายแพ้ในช่วงสงครามในสวรรค์และถูกขับไล่ไปยังออเรลิกา ซึ่งเขาทุ่มเทอย่างหนักเพื่อให้อสูรความมืดสามารถเข้าออกดินแดนแห่งการดำรงอยู่ของเราได้อย่างอิสระ ในไม่ช้า
บอลเบอริธได้รวบรวมสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ต่างๆ ที่อยู่ภายใต้ความมืดจำนวนมากเข้าเป็นกองทัพอันแสนชั่วร้ายของตน เขาได้ยกทัพบุกคนแคระของอาณาจักรภูเขาและป้อมปราการที่ “สุดแข็งแกร่ง” รอบ ๆ รอยแยกมิติ

ในขณะที่เหล่าปีศาจแห่งความมืดเองก็เข้าร่วมในการรบครั้งนี้ด้วย บอลเบอริธนั้นได้ทะยานขึ้นไปที่ป้อมปราการและได้ทำการการสังหารหมู่เหล่าผู้พิทักษ์และกลไกอาวุธต่าง ๆ ในป้อมปราการอย่างโหดเหี้ยม พวกคนแคระมองอย่างครั่นคร้าม เมื่อกองทัพของบัลเบริธนำสิ่งที่เรียกว่า “กุญแจ” ขึ้นไปยังอาณาจักรแห่งขุนเขา ประตูบาสเตียนเผยให้เห็นรอยแยกมิติและเมืองดกของคนแคระและเผชิญสู่เงื้อมมือแห่งความโกลาหล

แต่คนแคระก็ไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพังในวันนั้น เป็นครั้งแรกในรอบหลายพันปีที่ยักษ์เหล็กเข้ามาแทรกแซงในเรื่องของมนุษย์ ไททันโยนบอลเบอริธเข้าไปในรอยแยกมิติหลังจากดึงหัวใจของจอมอสูรร้ายซึ่งจะถูกเก็บไว้อย่างปลอดภัยโดยผู้ปกครองเผ่าโมลเทน จากนั้นไททันได้ตั้งข้อหากับผู้รับใช้ของตนอย่างเคร่งครัดในการปกป้องทั้งรอยแยกมิติและตอนนี้ก็ถึงคราวของ “หัวใจแห่งไฟ” โดยเตือนคนแคระว่าทั้งอสูรความมืดและบอลเบอริธจะไม่มีสิทธิ์กลับมาเหยียบออกเรลิกาอีกครั้งโดยไม่มีเหตุร้ายแรงใดๆ เกิดขึ้น

นี่คือจุดจบ

ของโลกของเจ้า!

ภัยพิบัติแห่งความมืด

เซียร่า

ชีวิตในวัยเด็กของเซียร่าเป็นการผสมผสานที่ไม่เข้ากันเอาเสียเลยระหว่างความมีอภิสิทธิ์ในฐานะสมาชิกในวงขุนนางและความไร้อำนาจในฐานะสตรีที่อาศัยอยู่ภายใต้สังคมที่ชายเป็นใหญ่ของจักรวรรดิเฮอชิงเบิร์ก ในขณะที่นางยอมรับมันด้วยความขมขื่น ประชาชนทั่วไปและชาวนาในจักรวรรดิกลับมีความเป็นอิสระมากขึ้น พวกเขามีชีวิตที่อิสระมากกว่าพวกชนชั้นสูงเสียอีก การแต่งงานที่ไร้ความรักของแม่นางและการตายอย่างน่าเศร้าของพี่สาวนางที่ถูกคลุมถุงชน ยิ่งตอกย้ำความจริงข้อนี้สำหรับเซียร่า นางรู้ว่ามีเพียงเวทมนตร์เท่านั้นที่จะเปลี่ยนชะตากรรมของนางได้ มันคืออำนาจสูงสุดที่ทำให้ผู้ร่ายคาถาเป็นใหญ่เหนือสถานการณ์ของพวกเขา ไม่ว่าผู้ร่ายจะมาจากตำแหน่งชนชั้นใดๆ ก็ตาม เซียร่าใช้เวลาอย่างยาวนานในยามค่ำคืนเพื่อศึกษาศาสตร์แห่งเวทย์มนตร์อย่างจริงจัง สั่งสมทักษะอันทรงพลังที่สามารถมอบชีวิตอิสระให้กับนางได้ ในสังคมจักรวรรดิที่โหดร้าย ความทุ่มเทและความมุ่งมั่นของเซียร่ารู้ถึงหูนักบวชหญิงชั้นสูงวาเลอเรีย ผู้ที่ต่อมาได้เสาะหาวิธีไปพูดคุยกับเซียร่าเป็นการส่วนตัวที่ห้องของนางในอคาเดมี วาเลอเรียเผยให้เซียร่ารู้ว่านางสามารถเข้าถึงพลังอำนาจสูงสุดได้อย่างง่ายดาย ขอเพียงแค่ยอมคุกเข่าให้กับเจ้าแห่งความมืด มันเป็นข้อเสนอที่เย้ายวนสำหรับสตรีสูงศักดิ์ผู้มีความสิ้นหวังและร้ายลึกอย่างเซียร่า เพื่อเสริมความมั่งคั่งให้กับตระกูล พ่อของเซียร่าได้บังคับให้นางแต่งงานกับเจ้าชายผู้ชั่วร้ายคนเดิมที่เป็นเหตุให้พี่สาวของนางตาย และนี่เป็นโอกาสที่สาธารณชนจะได้รับรู้ถึงพลังอำนาจใหม่ที่น่าสะพรึงกลัวของเซียร่า นางแสร้งทำตัวว่านอนสอนง่ายโดยการเข้าร่วมพิธีหมั้นหมายและได้เลือกช่วงเวลาการกล่าวสุนทรพจน์ในการเปิดเผยทักษะใหม่ ด้วยการปลดปล่อยไฟนรกจากเวทย์เพลิงเข้าใส่ครอบครัวของคู่หมั้นนาง โดยที่ทหารองครักษ์ไร้อำนาจที่จะป้องกัน การสังหารหมู่อันฉาวโฉ่นี้ทำให้เซียร่าถูกขับออกจากสังคมชั้นสูงไปตลอดกาล ความมืดในยามค่ำคืนช่วยให้นางหลบหนีนักเวทย์องครักษ์ของจักรวรรดิไปได้และมุ่งหน้าไปหาวาเลอเรีย ผู้ซึ่งยอมรับนักเวทย์อายุน้อยผู้ทะเยอทะยานและกระหายอำนาจไว้ใต้ปีก เซียร่าได้อุทิศตนเองให้กับวาเลอเรียและเจ้าแห่งศาสตร์มืด และในตอนนี้ นางกำลังทำภารกิจเพื่อช่วยเหลือนิคลอสและแผนการอันยิ่งใหญ่ของเขา

ความมืด

ได้เลือกข้า!

ผู้ทำลายความหวัง

อบาดอน

เมื่อมีคนเล่าเรื่องราวของสหายในตำนานของราชาศักดิ์สิทธิ์ สมาชิกคนแรกในกลุ่มที่สนิทชิดเชื้อของเขาที่นึกขึ้นมาได้คือมหาจอมเวทย์ไมก้า ผู้สร้างและผนึกเวทมนตร์ในตำนานบนหลุมฝังศพศักดิ์สิทธิ์ของตน หรือบางทีอาจจะเป็นมังกรดำต้องสาปที่บินสูงอยู่บนท้องฟ้าอย่างอากูลิสกัน มีสามัญชนเพียงจำนวนน้อยเท่านั้นที่จะรับรู้ถึงผู้ช่วยอีกคนที่ไว้ใจได้อย่างอบาดอน เขานั้นเป็นผู้อาศัยอยู่ในความมืด ร่างที่น่าสะพรึงกลัวถือเคียวของยมฑูตผู้มักสร้างความหวาดกลัวให้กับศัตรูของพระราชา

เราอาจพูดได้ว่าราชาผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้นำแสงสว่างที่แท้จริงมาสู่ลาเซอ ในทำนองเดียวกัน ทางอบาดอนเองก็ทำเช่นเดียวกันจากเงามืด คือการกำจัดศัตรูของคาร์ลอสและขจัดสิ่งกีดขวางออกไปเพื่อให้จุดประสงค์ที่ยิ่งใหญ่ของเขาบรรลุผล ดังที่อบาดอนได้บอกกับตัวเองว่า เขานั้นได้ย้ายไปอยู่ท่ามกลางผู้คนราวกับเป็นผู้เก็บเกี่ยวในช่วงเวลาที่เลวร้ายเมื่อคาร์ลอสกำลังก่อตั้งอาณาจักรของตน ซึ่งช่วยให้แผนการของคาร์ลอสเกิดขึ้นได้ด้วยความหวาดกลัวตามที่เขาตั้งใจ ตัวตนและอดีตของอแบดดอนก็ถูกปกปิดในความมืดเช่นเดียวกัน เบื้องหลังชุดเกราะสีดำและหน้ากากที่น่าสยดสยองซึ่งเขาใช้ป้องกันใบหน้าหรือการเลือกอาวุธในการต่อสู้

บางทีเฉพาะผู้ที่ได้ลิ้มรสความหวาดกลัวที่แท้จริงของอสูรความมืดเท่านั้นที่จะสามารถสัมผัสดะยหชม ระยะเวลาที่คาร์ลอสรู้สึกว่าเขาต้องทำเพื่อปกป้องผู้คนจากภัยใกล้สูญพันธุ์ที่ทำลายล้างโลกนี้ ไม่ว่ามนุษย์จะต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตาม เวลานั้นแตกต่างกันอย่างแน่นอน ความมืดวิ่งอาละวาดไปทั่ว ออเรลิกาทำให้มนุษย์กลายเป็นสัตว์ร้ายด้วยการเคลื่อนตัวผ่านพ้นของคลื่นขนาดยักษ์ อบาดอน นักบวชผู้เคร่งศาสนาผู้อยู่ในระหว่างรับใช้เทพธิดา ได้เข้าไปลี้ภัยกับผู้คนของเขาในโบสถ์ของเทพธิดา และในขณะที่สวดอ้อนวอนขอความคุ้มครอง ก็ได้เผชิญหน้ากับพลังของผู้รับใช้แห่งความมืดที่เริ่มสังหารหมู่เหล่าสหายของตน เขาต่อสู้อย่างกล้าหาญกับกลุ่มนักบวชที่ภักดี และเกือบจะพลาดท่าต่อคาร์ลอสและทหารยอดฝีมือที่เดินทางมาถึง

คำอธิษฐานของอแบดดอนได้รับคำตอบอย่างอัศจรรย์ ณ ตอนนั้นเอง เขาเริ่มมองว่าคาร์ลอสเป็นบุตรแห่งแสงสว่างที่นำพามาโดยเทพธิดา ความจงรักภักดีของอบาดอนต่อเทพธิดาและ “ผู้มอบหมาย” ของเขานั้นยิ่งใหญ่จนศรัทธาของเขานั้นยังคงอยู่ตลอด รวมถึงการกระทำอันสูงส่งที่กษัตริย์ศักดิ์สิทธิ์ได้ลงมือเพื่อปกป้องอาณาจักรของเขาไว้ ไม่ว่าจะเป็นการลงมือฆาตกรรม การประหารชีวิต และการส่งหนังสือสนเท่ห์ ซึ่งจำเป็นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยทางแพ่งและทางสังคม อบาดอนรับใช้โดยไม่มีข้อครหาใด ๆ ในฐานะหนึ่งในมือขวาที่ไว้ใจได้มากที่สุดของคาร์ลอสเบื้องหลังเงามืด บุรุษผู้ศรัทธาต่อกษัตริย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งไม่มีใครเหมือนอย่างที่คาร์ลอสมักกล่าวไว้ว่า: “เทพธิดาไม่อาจช่วยเราได้ เราต้องพึ่งพาตนเอง และนั่นคืออาณาจักรที่ฉันกำลังจะสร้างให้พวกเขา” ความโหดเหี้ยมที่เพิ่มขึ้นของคาร์ลอสในฐานะกษัตริย์ได้รับการพบและเข้าคู่กับความมืดมิดของอาบาดอนที่อยู่เบื้องหลัง “เพื่อประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่กว่า”

ไม่มีการยอมแพ้

มีแต่ความตายเท่านั้น!

ค้างคาวผี

แกนเจโล่

เจ้าหนุ่มแกนเจโล่ เกิดในตระกูลขุนนางในจักรวรรดิ เขามีชื่อเสียงในด้านความสามารถในการเล่นแร่แปรธาตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวิจัยในแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม การแสวงหาสูตรเล่นแร่แปรธาตุใหม่ๆ ของแกนเจโล่นั้นเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล เมื่อส่วนผสมใหม่ได้ระเบิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้เคหาสน์ของเขาเละกระจุยและยังทำให้แกนเจโล่ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง อีกทั้งยังหสังหารสมาชิกในครอบครัวส่วนใหญ่ของเขาเกือนหมดสิ้น เว้นแต่ อัคซูล น้องชายของเขา เมื่อแกนเจโล่ได้สติขึ้นมาก็พบว่าเกือบแทบไม่รอดชีวิต

แกนเจโล่ที่สิ้นหวังนั้นได้ทุ่มเทกับการผสม การทดลอง หรือเข้าศึกษาในโรงเรียนเวทมนตร์ความมืดเพื่อที่จะช่วยชีวิตน้องชายของตน และในที่สุดก็ประสบความสำเร็จในการสร้างร่างต้นแบบใหม่สำหรับร่างกายที่แทบจะไร้สมรรถภาพของ อัคซูล นั่นคือมนุษย์สิ่งมีชีวิตกึ่งแมลงที่แกนเจโล่ สามารถย้ายอวัยวะที่สำคัญของอัคซูลได้อย่างปลอดภัย

อัคซูลสิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งสัตว์ประหลาดสามารถยืนและเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ แต่การค้นพบจาก “การทดลอง” ของแกนเจโล่นั้นทำให้จักรวรรดิดำเนินคดีและกักขังนักเล่นแร่แปรธาตุที่ทำตามใจตัวเอง ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อ “ความปลอดภัยของสาธารณะ” โดยอัคซูลได้หลบหนีจากการตามตัวของ จักรวรรดิ และให้ความร่วมมือกับ “นักวิทยาศาสตร์” นอกรีตนาม “เดสมอนด์” จนในที่สุดทั้งคู่ก็ประสบความสำเร็จในการแยกองค์ประกอบ ส่วนเมื่อแกนเจโล่ออกจากคุกแล้ว เขาได้มีชีวิตใหม่ในฐานะหัวหน้านักเล่นแร่แปรธาตุของกลุ่มนักปล้นวิญญาณ

ไม่มีทางหลบหนี

จากโรคระบาด

เงาของเรเวน

เดสมอนด์

เดสมอนด์จบการศึกษาจากนักเวทย์ผู้รักษารุ่นเยาว์จากสถาบันอิมพีเรียลด้วยความเชี่ยวชาญในการรักษา การทำยา และการอัญเชิญ และกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่เป็นที่ต้องการอย่างรวดเร็ว หากลูกค้าของ เดสมอนด์ สามารถบ่นเกี่ยวกับสิ่งหนึ่งได้ บางทีเขาอาจจะเน้นเฉพาะผู้ป่วยที่รักษาให้หายขาดน้อยที่สุดหรือใกล้ตายที่สุด นิสัยแปลก ๆ นั้นเริ่มก่อให้เกิดความสงสัยขึ้นทั่วไปเนื่องจากการเสื่อมสภาพอย่างไม่คาดคิดในหลายๆ กรณีของเขาซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ด้วยการใช้เวทมนตร์รักษาธรรมดา อันที่จริงเดสมอนด์นั้นได้ทำการทดลองกับผู้ป่วยที่มีอาการหนักที่สุดของเขาด้วยส่วนผสมใหม่ที่คาดเดาไม่ได้ การถูกขับไล่ออกจากตำแหน่งครั้งแรกของเดสมอนด์นั้นเกิดขึ้นด้วยน้ำมือของสหายร่วมงานที่ขู่ว่าจะเปิดเผยเขาเมื่อค้นพบการทดลองยาที่ผิดจรรยาบรรณ เดสมอนด์พยายามชะลอการรายงานของสหายร่วมงานต่อเจ้าหน้าที่ด้วยการอุทธรณ์อย่างมีชั้นเชิงต่อการปฏิบัติการุณยฆาตด้วยความเห็นอกเห็นใจของเขาสำหรับผู้ป่วยวิกฤต แต่จากนั้นก็ใช้โอกาสที่มีในยามราตรีเข้ามาเงียบๆ และลอบสังหารสหายร่วมงานของเขาอย่างเงียบ

นี่เป็นเพียงครั้งแรกใน เหตุการณ์ที่อธิบายไม่ได้หลายอย่างในโรงพยาบาลซึ่งทำให้คนทั่วไปสงสัยในแนวทางของเดสมอนด์ อันที่จริง เดสมอนด์เริ่มรู้สึกว่าเขาไม่นานสำหรับวิชาชีพแพทย์ เป็นความจริงที่ เดสมอนด์ ได้ทดลองในตอนแรกเฉพาะกับอาสาสมัครที่ห่างจากความตายเพียงไม่กี่ชั่วโมงหรือหลายวันเพื่อจุดประสงค์และจุดประสงค์ทั้งหมด แต่เขารู้สึกว่าแม้การป้องกันนี้จะไม่ชนะสหายร่วมงานของเขาและยิ่งกว่านั้นเขายังมี รู้สึกปลาบปลื้มที่บิดเบี้ยวในคดีฆาตกรรมโดยไม่ได้ตั้งใจหลายต่อหลายครั้ง เดสมอนด์ตระหนักว่าเขาชอบความรู้สึกมีอำนาจเหนือมนุษย์อย่างแท้จริง และในเดือนต่อๆ มา เขาก็กลายเป็นเหยื่อของความประมาทเลินเล่อจริงๆ ที่เขาได้สั่งการปรุงยาแบบทดลอง

ในที่สุดวันที่เดสมอนด์ก็ถูกบังคับให้หนีไป ลี้ภัยจากจักรวรรดิ แต่พลังเวทย์มนตร์ของเขาทำให้แน่ใจได้ว่าเขายังคงเป็นเป้าหมายที่เข้าใจยากต่อผู้พิทักษ์จักรวรรดิซึ่งมักจะหงุดหงิดกับความสามารถของเขาในการเรียกฝูงกาที่ดูเหมือนจะเต็มใจที่จะหลบเลี่ยงการจับกุม เดสมอนด์ใช้เวลาหลายปีในการหลบซ่อนตัวอยู่ในบริเวณชายแดนทางตะวันออกและตะวันตกที่ห่างไกลออกไป จนกระทั่งการรักษาผู้ป่วยที่ป่วยอย่างไม่สิ้นสุดได้ดึงดูดใจเขาให้มาที่เพกาซัสเมื่อมีข่าวการระบาดของกาฬโรคมาถึงหูของเขา เดสมอนด์พบว่าบริกาของเขาในฐานะแพทย์ที่มีความต้องการสูงอีกครั้งในเพกาซัส และรู้สึกตื่นเต้นมากนับตั้งแต่มีโอกาสสวมหน้ากากกระโหลกอีกาของเขา และใช้มนตร์เสน่ห์อันโหดร้ายกับผู้ป่วยโรคระบาดที่สิ้นหวัง

เลือนลาง

ไปจากความทรงจำ!

สปิริตแห่งที่ราบสูง

แบล็กฮอร์น

เผ่าทอเรนเป็นหนึ่งในไม่กี่เผ่าพันธุ์ในกลุ่มที่มีความหลากหลายที่เล่าขานว่า “จอมสัตว์ร้าย” แห่งป่าเลือดอสูรที่มีความสัมพันธ์กับเวทมนตร์ธาตุ ทำให้เผ่าทอเรนเป็นเผ่าคนทรงที่ความสามารถเป็นเอกลักษณ์ของป่าเลือดอสูร อย่างที่ไม่มีที่ใดเหมือน ซึ่งคนทรงชราอย่างแบล็คธอร์นนั้นอาจมีพรสวรรค์มากที่สุด

แบล็กฮอร์น นั้นเป็นชาวเผ่าทอเรนที่อ่อนโยน มีความแข็งแกร่งประดุจดังต้นโอ๊คและความเห็นอกเห็นใจอีกฝ่าย ด้วยพรสวรรค์ในการเป็นผู้นำตามธรรมชาติอันมาจากความกังวลของตนต่อสิ่งมีชีวิตในป่า การอุทิศตนให้กับป่าของแบล็คฮอร์นนั้นได้รับคำยกย่องชมเชยอย่างเหมาะสมด้วยความโปรดปรานของไกอาเอง และเทพธิดาแห่งธรรมชาติ ที่ได้มอบความสามารถในการอัญเชิญหนามแหลมคม เหล่าทริสเติล พลังที่ช่วยปกป้องพิทักษ์ธรรมชาติและสัตว์ป่า ชื่อเสียงด้านสติปัญญาและความเข้าใจเชิงปรัชญาของแบล็คฮอร์นนั้นทำให้เขาได้รับความเคารพจากผู้นำคนอื่นๆ แม้กระทั่งผู้ที่อยู่ห่างไกลจากแดนพนา เช่น เอลฟ์ผู้เย่อหยิ่งในป่านางไม้ รวมถึงเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ของแดนทะเลทรายไคซัส ทั้งนี้เนื่องจากความเต็มใจของ
แบล็คฮอร์นที่จะคอยให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ต้องการ เขาเป็นที่รู้จักอย่าง
กว้างขวางในปัจจุบันว่าเป็น “ปรมาจารย์ผู้เมตตา” แห่งป่า

พระแม่ธรณี

ให้พรกับเรา

โล่นางไม้

ทาชีร์

ผู้พิทักษ์แห่งป่านางไม้นั้นนับได้ว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่ง ซึ่งมีประวัติที่เล่าขานมาอย่างยาวนาน และมีเรื่องราวมาตั้งแต่สมัยยุคบรรพกาล แม้แต่ตอนที่พวกเอล์ฟนั้น ได้เริ่มทำการอพยพจากภูเขาฟินิกส์เป็นเวลานานแล้ว ซึ่งจะเป็นการเปิดทางให้เฉพาะนักรบเอล์ฟชั้นยอดเท่านั้นที่จะสามารถร่วมในกลุ่มองครักษ์ป่านางไม้ได้ อีกทั้งยังต้องมีการเคลื่อนไหวและการกระทำที่มีความเด็ดขาด มีความแม่นยำทางการทหารมาก บุกและทำลายล้าง และช่วยเหลือชีวิตได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว โดยเหล่าเอล์ฟแห่งป่านางไม้นั้น ตามที่ศัตรูบุกเข้ามาหลายครั้งและหลายทาง

โดยผู้บัญชาการของกลุ่มกองรบที่สวมชุดในตำนานนี้ ไม่ใช้ใครอื่นนอกจากทาชีร์ ทาชีร์นั้นเป็นนักรบที่มีประสบการณ์ในระดับหนึ่งพันปี ซึ่งช่วยเหลือผู้คน จากนั้นได้เป็นผู้เข้ามาใหม่ของกลุ่มองครักษ์ ซึ่งเปรียบเทียบกับพี่น้องที่อายุยืนยาวกว่าปกติแล้ว ทาชีร์นั้นไม่ถือว่าเป็นนักดาบสตรีที่เก่งที่สุด เป็นนักแม่นปืนที่แข็งแกร่งที่สุด หรือเป็นกับตันที่สร้างความประทับใจที่ได้มากที่สุด แต่ทว่าข้อบกพร่องทางร่างกายต่าง ๆ นั้น ได้รับการชดเชยด้วยสัญชาตญาณที่ไม่ธรรมดาของเธอในสนามรบ รวมถึงความสามารถในการรักษาชีวิตของเพื่อน องครักษ์ของเธอ ทำให้หน่วยของเธอนั้นจึงสามารถรับมือกับคู่ต่อสู้ได้หลายครั้ง แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีจำนวนมากกว่าก็ตาม

ด้วยเหตุนี้เองทาชีร์ จึงได้รับเลือกเป็นผู้บัญชาการของกลุ่มองครักษ์แห่งป่านางไม้ ต่อสู้ด้วยอาร์ติแฟกซ์ก็คือแสงดาวศักดิ์สิทธิ์ ทั้งนี้ทั้งนั้นความกล้าหาญและทักษะของทาชีในสนามรบนั้นเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในป่าซิลแวน หรือแม้แต่พื้นที่ ๆ อยู่ใกล้เคียงอย่างป่าเลือดอสูรนั้นกลับมาสงบสุขมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน

แสงดาวของข้า

จะพาเจ้าลงนรก

เสือดาวลม

แบชลาร์ด

ในวัยเด็ก แบชลาร์ดแห่งเผ่าเสือดาวอาศัยอยู่ในพื้นที่อันห่างไกลของป่าเลือดอสูรกับแม่ที่อ่อนแอและป่วยกระเสาะกระแสะของเขา ด้วยเหตุนี้เผ่าเสือดาวซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแกร่งเหนือเผ่าอสูรกายทั้งปวงจึงไม่ยอมรับนาง นางจึงเลือกที่จะพาลูกชายปลีกตัวออกจากสังคม

การเติบโตมาอย่างสันโดษทำให้แบชลาร์ดมีมุมมองชีวิตที่ไม่ธรรมดาและมีมิตรภาพกับเพื่อนต่างเผ่าพันธุ์อย่างอเลสเซีย มนุษย์ที่หัวหน้าเผ่าเก็บมาเลี้ยงด้วยความสงสารและนางมีความรู้สึกแปลกแยกจากเผ่าเหมือนกับเขา แบชลาร์ดใช้เวลาในวัยเด็กสำรวจป่าเลือดอสูรกับสาวน้อยผู้บอบบาง มิตรภาพที่อาจผลิบานเป็นอะไรที่มากกว่านั้น แต่แล้วก็เกิดเหตุร้ายที่พรากนางจากเผ่าเสือดาวไปตลอดกาล หลายปีผ่านไปความทรงจำที่แบชลาร์ดมีต่อนางก็ยังคงแจ่มชัด

แบชลาร์ดเติบโตขึ้นเป็นนักรบที่ยิ่งใหญ่ที่แม้แต่แม่ของเขาเองก็ไม่อาจหยุดโชคชะตานี้ได้ แบชลาร์ดได้รับความนิยมจากคนในเผ่าที่ในอดีตเคยไม่ยอมรับเขากับแม่ แม้ว่าแบชลาร์ดจะพบว่าเขาได้รับความสนใจ ทั้งจากเพื่อนชายที่คอยอิจฉา และจากสาวๆ ในเผ่าที่ประทับใจความแข็งแกร่งของเขา แต่แบชลาร์ดกลับรู้สึกเย็นชากับเพื่อนๆ ในเผ่า อาจเป็นเพราะประสบการณ์ในอดีตที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนคนนอกและมิตรภาพที่ไม่ธรรมดาในวัยเด็ก เขาจึงเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่นอกป่าเพื่อเติมเต็มสิ่งที่หายไปและตามหาเพื่อนมนุษย์ในวันเด็กของเขา

ข้าจะ

ไม่ยอมอ่อนข้อ

ปราชญ์พงไพร

ก็อดเฟรย์

ก็อดเฟรย์เป็นตัวตนสิ่งมีชีวิตโบราณที่บางคนรู้จักกันในนามว่าเป็นชาวป่า หรือเป็นนักปราชญแห่งป่าซิลแวน เขานั้นได้รับความเคารพกับเหล่าสัตว์ป่าทั้งหลายรวมถึงเอล์ฟ เนื่องด้วยมีนิสัยที่อ่อนโยน มีความเข้าใจในตัวผู้อื่นอีกทั้งยังสามารถรับบทบาทเป็นผู้พิทักษ์ได้ในบางครั้งที่เขาต้องกระทำในการช่วยเหลือเผ่าใดเผ่าหนึ่ง

บางทีนั้นก็อดเฟรย์ ผู้ลึกลับตนนี้ก็อาจจะเป็นเผ่าใดเผ่าหนึ่งมาก่อน ซึ่งเขานั้นก็เป็นหนุ่มที่มีความเลือดร้อนตนหนึ่ง ซึ่งมีแนวโน้มที่จะช่วยเหลือแก้ไขความขัดแย้งต่าง ๆ โดยที่เขาสามารถใช้พลังเวทย์มนต์ได้ ซึ่งความแข็งแกร่งของก็อดเฟรย์ก็ค่อย ๆ เพิ่มพูนขึ้นไป เขาก็ค่อย ๆ เข้าใจถึงความสำคัญถึงการรักษาผืนป่าให้สงบสุข และด้วยเหตุนี้เองเขาจึงได้รับบทบาทผู้พิทักษ์ของป่าอย่างลับ ๆ รวมถึงเป็นผู้ที่อาศัยของแท่นบูชาแสงดาวอยู่เป็นเวลาบ่อยครั้ง

หากมนุษย์ตนใดสัมผัสถึงธรรมชาติ และต้นกำเนิดที่แท้จริงของมัน นั้นอาจจะเป็นราชาฟีนิกซ์อย่างเวอร์จิลกับสหายนักรบของเขา ซึ่งเขาสามารถรอดพ้นจากเงื้อมมือของพวกดาร์กเอล์ฟได้ ทั้งนี้ด้วยการช่วยเหลือและการแทรกแซงของก็อดเฟรย์ ซึ่งเขาจะไม่ค่อยทำแบบนี้บ่อยนักในการไปยุ่งเรื่องของผู้อื่น โดยที่ระหว่างสงครามกลางเมือง ชาวเอล์ฟที่น่าสะพรึงกลัวก็ได้ทำลายล้างภูเขาฟินิกส์ ซึ่งก็อดเฟรย์เองก็เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง เป็นผู้ตระหนักถึงภัยคุกคามของดาร์กเอล์ฟ รวมถึงรอยแยกแห่งกลียุค ที่ส่งผลต่อทวีปออเรลิกา อีกทั้งเขายังเป็นผู้ให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีค่าที่ช่วยให้พวกเวอร์จิลนั้นได้เปรียบในการขัดความขัดแย้งและนองเลือด ซึ่งบางครั้งส่วนใหญ่ ก็อดเฟรย์ก็จะเป็นผู้ที่เลือกที่จะเป็นกลาง หรือมองดูความขัดแย้งเว้นแต่ว่ามันจะกระทบต่อเขา ในสิ่งที่เขาหวังว่าเป็นส่วนของธรรมชาติ

ดังนั้นก็อดเฟรย์นะ จึงได้เข้าแทรกแซงระหว่างการเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ของเวอร์จิลในการทุ่มสุดตัวเพื่อถล่มภูเขาฟินิกส์ ด้วยร่างกายเขานั้นเขาพยายามอย่างยิ่งที่จะมุ่งทำลายรอยแยกมิติแห่งกลียุครวมถึงปิดกั้นมันไม่ให้มันเข้าถึงอาณาจักรชาวเอล์ฟได้โดยป้องกันไม่ให้การมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของเหล่าปีศาจนั้นได้อีก ซึ่งเขานั้นก็ทำได้โดยการให้ความช่วยเหลือแก่เวอร์จิล จึงสามารถทำภารกิจนี้ได้สำเร็จ อีกทั้งก็อดเฟรย์ยังได้ช่วยเวอร์จิลในการรักษาในด้านจิตวิญญาณของเขาให้กับมาเหมือนมนุษย์ทั่วไปอีกครั้ง ซึ่งช่วยให้มิสเตเซีย ซึ่งเป็นสหายร่วมรบของเวอร์จิลสามารถรักษาแก่นชีวิตของเวอร์จิลไว้ในรูปกายหยาบได้ ซึ่งเป็นภารกิจที่หนักหนาอย่างยิ่ง

โดยก็อดเฟรย์ก็ยังคงกลับมาทำหน้าที่ของเขา ทำอยู่เสมอ ๆ ถึงแม้ว่าเขาจะเข้าไปยุ่งนั้นนี่บ้าง แต่เขาก็ทำเพื่อป่าอันสงบของตัวเขาเอง บางครั้งเขาก็หาอะไรทำ ทั้งนี้จิตวิญญาณของเวอร์จิลที่อยู่ในแท่นบูชาแสงดาว เขาก็ได้ไปพบกันบ้างเป็นบางครั้ง ดังนั้นเรื่องราวในอาณาจักรมนุษย์นั้นก็จะมีเพียงไม่กี่เรื่องที่ทางก็อดเฟรย์ได้เข้าไปแทรกแซง หรือเข้าไปยุ่งเกี่ยวในช่วยหลายพันปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ล่าสุดที่มีการคืนชีพของจอมอสูรแห่งความมืด รวมถึงกลุ่มลัทธิผู้ปล้นวิญญาณที่อาจทำให้ก็อดเฟรย์กลับมาเพื่อช่วยเหลือมนุษย์อีกครั้ง

แสดงให้พวกมันเห็นพลังที่แท้จริงเลย วิหกของข้า!

กลียุคลึกลับ

ไซเรส

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าไซเรสเป็นดาร์คเอลฟ์ที่ทรงพลังมาก แม้ว่าเธอนั้นจะไม่มีชื่อตามเชื้อชาติของเธอก็ตาม แซนทิสผู้นับถือลัทธิ ไซเรสนักปล้นวิญญาณ นั้นไม่เหมือนน้องสาวของเธอ เธอไม่ค่อยเคารพอสูรความมืดหรือพลังของเขาเนื่องจากความล้มเหลวมากมายของเขาในช่วงนับพันปีในการตั้งหลักปักฐานอยู่ที่ออเรลิกา สำหรับไซเรสนั้น คำมั่นสัญญาอันหนักแน่นของชีวิตที่มีไม่รู้จบหรือพลังอันไร้ขอบเขตที่เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาเหล่านี้ดูธรรมดาไปในทันทีเมื่อเทียบกับคำสัญญาที่มั่นคงยิ่งกว่าของการพึ่งพาตนเอง

ปรัชญาของไซเรสจึงขัดแย้งอย่างมากกับพี่สาวของตน ทำให้ทั้งสองต้องแยกทางกันในฐานะไซเรส – ผู้รักสันโดษอันเป็นนิรันดรที่ได้จากมรดกดาร์กเอลฟ์ของเธอ ที่พยายามหาวิธีที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวเองจากผู้อื่น การสำรวจเป็นเวลานานในการค้นหาอาร์ติแฟกต์เวทมนตร์โบราณที่ทรงพลังนำเธอไปยังวิหารร้างลึกเข้าไปในป่าแห่งเนฟตาฟาร์ซึ่งมีการดัดแปลงศักดิ์สิทธิ์และดาบรูปงูติดอยู่ ไซเรสทราบทันทีหลังจากสัมผัสวัตถุนั้นว่าเธออาจทำผิดพลาดอย่างร้ายแรงเนื่องจากพลังงานภายในตัวเธอผุดขึ้นด้วยพลังที่แม้แต่เธอซึ่งเป็นจอมเวทย์มาตลอดชีวิตก็ควบคุมไม่ได้ ร่างของไซเรสหมดสติไปเมื่อจิตใจของเธอเข้าสู่ฝันร้ายชั่วนิรันดร์ ซึ่งเธอพบว่าตัวเองค่อยๆ จมน้ำตายในมหาสมุทรที่มีพายุซึ่งรายล้อมไปด้วยฟ้าผ่าที่ไม่มีวันจบสิ้น ในใจของเธอ เธอจินตนาการว่าอาร์ติแฟกต์นั้น อาจจะเป็นของพายุหรือบางทีอาจเป็นเพราะน้ำ ที่โค้งคำนับไหลไปตามกระแสไฟฟ้าเข้าไปในร่างที่กำลังจมน้ำของเธอ แต่ละคนแบกความเจ็บปวดจากเหล็กไนนับพันเข็ม น้ำเริ่มดูดเธอลึกลงไปใต้คลื่นน้ำ แต่เธอรู้ว่าเวทมนตร์ที่ร่ายไว้กับอาร์ติแฟกต์นี้จะคร่าชีวิตเธอหากเธอยอมรามือ ไม่! เธอดิ้นรนเพื่ออากาศและโอกาสที่จะแก้แค้นทุกคนที่กดขี่เธอ

สัปดาห์ผ่านไปในฝันร้ายที่ทนทุกข์ทรมานนี้แม้กระทั่งเป็นเวลาหลายเดือน เธอไม่แน่ใจเพราะดูเหมือนว่าจะอยู่ในห้วงมิติอื่นกับร่างมนุษย์ของเธอ ในที่สุด บางสิ่งในตัวเธอก็เริ่มดูดซับพลังของสายฟ้าที่สว่างวาบพุ่งลงมาบนร่างที่ไร้การป้องกันของเธอ เธอตระหนักว่าแสงแวววาบไม่ใช่การลงโทษจากอาร์ติแฟกต์ แต่เป็นของประทานแห่งพลัง ในที่สุดไซเรสก็ลืมตาขึ้น เธอกลับมาที่วิหารใต้แท่นบูชาอีกครั้ง กระหายน้ำ ผอมแห้ง หิวโหยและกุมดาบเอาไว้ในมือ เธอตั้งสติและลุกขึ้นยืน ดาบนั้นส่องแสง และปรากฏรัศมีทรงกลดเต็มวงก่อนที่จะกลับมาอยู่ในมือของเธออีกครั้ง พลังของเธอสามารถจดจำมันได้ ความแข็งแกร่งของเธอจึงได้กลับคืนมา คำถามเดียวที่เหลืออยู่คือจะทำอย่างไรต่อไป ไซเรสจะต้องใช้เวลาอยู่ในวิหาร ศึกษาอารยธรรมโบราณนี้และเวทมนตร์ของใครก็ตามที่สร้างอาวุธดังกล่าว เธอจะต้องใช้มันให้ได้อย่างสมบูรณ์แบบในการต่อสู้ที่จะมาถึง

ข้าจะลากเจ้า

ไปลงนรก!

ผู้รักษาตามธรรมชาติ

มิสเตเซีย

เอลฟ์ทุกคนในสมัยนี้ไม่สงสัยเลยว่านักบวชหญิงชั้นสูงมิสเตเซีย เป็นผู้ใช้เวทมนตร์ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มและเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขา มิสเตเซีย อุทิศชีวิตของเธอให้กับเหล่าเอลฟ์และทุกเชื้อชาติของออเรลิกาอย่างเท่าเทียมกัน ด้วยพลังเวทมนตร์อันมหัศจรรย์ ความเมตตา ความเห็นอกเห็นใจ และความสามารถพิเศษของเธอ เธอถวายตนรับใช้มาหลายปีในฐานะผู้พิทักษ์เวทย์แห่งเบื้องลึกของจอมเวทย์เอลฟ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและได้ช่วยนำทางผู้คนของตนฝ่าฟันช่วงเวลาที่ยากลำบากมากมาย

มิธเทเซียถูกตีตราไว้ตั้งแต่กำเนิดโดยเทพธิดาผู้พิทักษ์แห่งเอลฟ์ตามตำนาน ซึ่งเป็นการเจิมเครื่องวงหมายไว้ที่หน้าผากของเธอ เครื่องหมายดังกล่าวนั้นถือเป็นตัวแทนของต้นไม้วิญญาณ อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์แห่งการให้พรจากเทพธิดาแก่ตัวเธอ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลนี้หรือไม่ก็ตาม มิสเตเซียมักจะชอบเดินทางไปยังแหล่งเวทมนตร์ธรรมชาติมากกว่าใคร ๆ เสมอ เช่นเดียวกับทักษะที่หายากในการสื่อสารและการสั่งการพืชและสิ่งมีชีวิตในป่า

พวกเอลฟ์นั้นเคยเผชิญกับความทุกข์ทรมานอันน่าสยดสยองในระหว่างการสู้รบอันยาวนานกับอสูรความมืด ซึ่งจบลงด้วยชนะของเอลฟ์เหนือกองกำลังแห่งความมืดที่ศึกแห่งภูเขาฟีนิกซ์ บ้านเกิดของพวกเขาถูกทำลาย เวอร์จิล “ราชาฟีนิกซ์” เหล่าภูติพรายและที่ปรึกษาที่ใกล้ชิดที่สุดของเขาอย่างมิสเตเซีย ตัดสินใจอพยพไปทางทิศตะวันออกไปยังป่าซิลแวน เจ้านายคนใหม่ของป่าต้องตัดสินใจทันทีว่าจะทำอย่างไรกับผู้อยู่อาศัยในป่าและเผ่าพันธุ์ผู้ลี้ภัยอื่น ๆ จากสงครามต่อต้านความมืด รวมถึงสัตว์ร้ายจำนวนมากที่ต้องเผชิญกับการต่อสู้ของพวกเขาเอง การตัดสินใจทิ้งอีสต์ซิลแวนให้กับพวกสัตว์อสูร ซึ่งกลายเป็นที่รู้จักในนาม “ป่าเลือดอสูร ” เพื่อให้มีการตกลงที่จะช่วยปกป้องป่าจากการรุกรานจากความมืดที่คุกคามมาอย่างไม่มีวันสิ้นสุด ในขณะที่พวกเอลฟ์เองก็จะตั้งรกรากอยู่ในป่าซิลแวนตะวันตก ซึ่งในไม่ช้าก็กลายเป็นที่รู้จักในนามว่า “ป่านางไม้” ปัญหาเริ่มต้นขึ้นเกือบจะในทันทีหลังจากนั้น เมื่อผู้รับใช้แห่งความมืดได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความไม่ลงรอยกันในหมู่สัตว์อสูรใหม่ที่เข้ามา ในที่สุดก็ทำให้หลาย ๆ คนกลายเป็นอมนุษย์ที่บิดเบี้ยว – ที่เรียกว่า “สัตว์อสูรแห่งความโกลาหล” มิสเตเซียได้ตัดสินใจที่จะเสี่ยงชีวิตของเหล่าพรายเพื่อป้องกันไม่ให้เหล่าอสูรความมืดเข้ามาตั้งหลักในป่าเลือดอสูรที่อยู่ใกล้เคียง แต่พวกเอลฟ์กลับถูกยืดเยื้ออย่างหนักจากการรุกรานของดาร์กเอลฟ์ระลอกที่สอง ในที่สุดผู้พิทักษ์นางไม้ก็ได้รับชัยชนะ แต่ความขัดแย้งได้ส่งผลกระทบต่อเวอร์จิล ราชาฟินิกซ์ผู้ซึ่งตกอยู่ในห้วงนิทราในแท่นบูชาแสงดาว ความเป็นผู้นำของเอลฟ์นั้นจึงได้ส่งต่อไปยังนักบวชหญิงชั้นสูงมิสเตเซีย ซึ่งตอนนี้มีหน้าที่สองประการของหัวหน้าจอมเวทย์และหัวหน้าเอลฟ์

มิสเตเซียได้ใช้ความรู้ของเธอเกี่ยวกับเวทมนตร์ลึกลับเพื่อสร้างอาร์ติแฟกต์อันยิ่งใหญ่ในซิลแวนตะวันออกอย่าง “มูนเวล” โดยมีวารีรักษาในป่าสำหรับการทำสงครามกับความมืดอันยาวนาน ซึ่งทำให้ชื่อสามัญของซิลแวนตะวันออก ซึ่งในปัจจุบันคือ “ป่าแห่งนางไม้” ประชากรเอลฟ์ซึ่งถูกทำลายล้างโดยสงครามต่อต้านความมืดและความสูญเสียอันน่าสยดสยองที่ ศึกบนยอดเขาฟีนิกซ์ เริ่มฟื้นตัวท่ามกลางความเจริญรุ่งเรืองและความสงบสุขที่ยาวนานที่สุดที่ผู้คนของพวกเขายังรู้จัก เอลฟ์ที่อายุน้อยกว่ารู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวที่พ่อแม่ของพวกเขาเคยต่อสู้ดิ้นรนในตอนนี้มากกว่าหนึ่งพันปีในอดีต ในขณะที่มิสเตเซียตรวจสอบถึงความเป็นอยู่ของเอลฟ์ที่รุ่งเรืองถึงขีดสุด อันทินูอาน้องชายของเธอนั้นยังได้เป็นผู้นำคนสำคัญด้วย เธอไม่สามารถสั่นคลอนถึงความรู้สึกได้ว่า เวลานั้นกำลังจะมาถึงเมื่อผู้คนของเธอจะต้องอัญเชิญราชาฟีนิกซ์ของพวกตนกลับอีกครั้งจากแท่นบูชา

ข้าต้อง

ปกป้องป่า

เกราะศักดิ์สิทธิ์

เวอร์จิล เกราะศักดิ์สิทธิ์

เหล่าเอลฟ์มารวมตัวกันท่ามกลางแสงแวมวับและเสียงคำรามลั่นจากแท่นบูชาแสงดาวที่อยู่ในป่าซิลวาล ประตูอันยิ่งใหญ่เปิดออกพร้อมกับเสียงอื้ออึงของผู้ที่มาชุมนุมเมื่อพวกเขาเห็น เวอร์จิล กษัตริย์ที่พวกเขาเทิดทูน กายหยาบของเวอร์จิลอาจถูกทำลายโดยผู้บุกรุกเมื่อหลายศตวรรษก่อน แต่วิญญาณของเขาได้ถูกสะกดอยู่ในภาวะหลับไหลภายใต้แท่นบูชาโดยนักบวชหญิงชั้นสูง คำอธิษฐานวิงวอนของเหล่าเอลฟ์ตลอดหลายปีได้ปลุกให้เขาตื่นขึ้นอีกครั้ง ดวงดาวแห่งราตรีค่อยๆ ลอยไปที่แท่นบูชา พลังของมันทำให้ทั่วทั้งพื้นที่สว่างไสวและชุดเกราะใหม่เอี่ยมก็ได้ปรากฏขึ้นรอบๆ แท่นบูชาที่บรรจุวิญญาณอันหลับไหลของเวอร์จิล ร่างของเขาค่อยๆ ตื่นขึ้นภายใต้ชุดเกราะด้วยพลังวิเศษ “ขอขอบคุณดวงดาวที่ช่วยปกป้องราชาอันชอบธรรมของเรา!” เหล่าเอลฟ์ร้องสรรเสริญเมื่อกษัตริย์ของพวกเขาได้ขึ้นครองบัลลังก์อีกครั้งพร้อมกับปีกแห่งแสงที่เปล่งประกาย เวอร์จิลได้ประกาศกร้าว “ใครก็ตามที่กล้าบุกรุกป่าซิลวานและโจมตีเหล่าเอลฟ์จะต้องถูกทำลายสิ้น!”

แสงสว่าง

จะสั่งสอนเจ้า!

Blood Thirst Werewolf

ธอร์

แม้ธอร์ แม่ทัพแห่งเผ่าหมาป่าและกลุ่มมนุษย์หมาป่าจะแข็งแกร่งมากมายเพียงใดก็ตาม แต่เขาเป็นผู้นำนักรบสันโดษที่ไม่ประสงค์ที่จะยุ่งวุ่นวายกับเผ่าพันธุ์อื่น เว้นเสียแต่ว่าเรื่องนั้นจะลดทอนเกียรติยศและศักดิ์ศรีของเผ่าหมาป่า ยามต้องรบหรือเมื่อถูกกระตุ้นด้วยสถานการณ์บางอย่าง (เช่น ค่ำคืนพระจันทร์เต็มดวง) ธอร์ก็เหมือนกับเพื่อนมนุษย์หมาป่าคนอื่นของเขาที่มีสัญชาตญาณที่ดุดันและพร้อมต่อสู้ด้วยความแข็งแกร่งเหนือธรรมชาติของเขา แม้ว่าจะต้องปะทะกับผู้มีอำนาจมากกว่าก็ตาม “พละกำลัง” และความแข็งแกร่งของร่างกายของเหล่ามนุษย์หมาป่านี้เป็นของขวัญที่ส่งทอดต่อกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ซึ่งเป็นเครื่องหมายแห่งเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ โวลก้า ลุงของธอร์เคยเป็นหัวหน้าเผ่าของทั้งสี่ชนเผ่า โวลก้าเตรียมการสืบทอดตำแหน่งต่อให้ธอร์ เขาตั้งความหวังไว้สูงเพราะธอร์มีสัดส่วนรูปร่างที่สูงใหญ่กว่าพี่น้องคนอื่นในชนเผ่าและยิ่งเห็นได้ชัดในการต่อสู้ แน่นอนว่าพฤติกรรมที่ “ไม่เหมือนหมาป่า” ของเขา อย่างเช่น การเดินเล่นคนเดียว หรือการว่ายน้ำผ่านป่า ทะเลสาบ และภายใต้แสงจันทร์ที่อาจทำให้หมาป่าที่ด้อยความสามารถกว่าดูน่าสงสัยถูกมองข้ามไปทันที น่าแปลกที่ธอร์มีความคิดสองจิตสองใจเกี่ยวกับตำแหน่งการเป็นหัวหน้าชนเผ่าและสายเลือดมนุษย์หมาป่าของเขา ในขณะที่สถานะนี้เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจของคนอื่น แต่สำหรับตัวธอร์เอง เขากลับมองมันด้วยความหวาดกลัว หรือแม้กระทั่งขยะแขยงในบางครั้ง อารมณ์โกรธเกรี้ยวและความแข็งแกร่งเหนือธรรมชาติที่ธอร์มีมาแต่กำเนิดและส่งผลให้เขาเป็นดั่งผู้นำและผู้ทำลายล้างในกลุ่มเด็กด้วยกันในสมัยนั้นสร้างความหวาดกลัวให้ธอร์ว่าหากสัญชาตญาณความกระหายเลือดของเขาเข้าครอบงำเมื่อไร เขาอาจสูญเสียการควบคุมและพลาดทำอะไรลงไป ด้วยเหตุนี้ ธอร์จึงสร้างภาพลักษณ์ภายนอกของการเป็นหัวหน้าเผ่าให้แตกต่างจากความรู้สึกในบางครั้งของเขา

เลือด

สด ๆ!

ผู้พักแรมมหากาฬ

ริก

ริกวัยเยาว์เลือกที่จะไม่หมกมุ่นอยู่กับอคติเหมือนอย่างที่เพื่อนมนุษย์หนูแห่งป่าซัลวานของเขาเป็น มันเป็นแรงกระตุ้นอันทรงพลังให้ริกเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ ซึ่งเป็นวิธีที่ชัดเจนที่สุดในการพิสูจน์ว่าเขาเหมาะกับการดูแลคนของเขา ริกล้มเหลวในการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้กับสุดยอดนักรบ แต่เขาประสบความสำเร็จในการเรียนรู้ศิลปะการเป็นนักฆ่าเหนือกว่าเหล่าอสูรทั้งปวง ด้วยความสามารถนี้ บางทีตอนนี้มนุษย์หนูอาจมีปากเสียงในการเมืองในป่ามากขึ้นก็เป็นได้ สิ่งที่ริกขาดไปทั้งความแข็งแกร่งและกล้ามเนื้อเมื่อเทียบกับสุดยอดนักสู้ของเผ่าพันธุ์อื่น เช่น ธอร์ เขาได้ชดเชยมันด้วยความว่องไว เล่ห์เหลี่ยม ความเร็ว และไหวพริบ ริกได้เรียนรู้วิธีการควบคุมความเร็วของเงาและมีดจากความมืด ซึ่งเขาได้ใช้ทักษะนี้พิชิตศัตรูมากมาย ทั้งศัตรูส่วนตัวและศัตรูของเผ่า แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ริกก็ยังตระหนักถึงความต้องการการปกป้องที่มากขึ้น ข่าวลือเรื่องอาร์ติแฟกต์อันยิ่งใหญ่ที่คนแคระแห่งไททันไอซ์แลนด์ สร้างขึ้นได้ดึงดูดความสนใจของเขา และตอนนี้เขากำลังมุ่งหน้าสู่การผจญภัยสุดยิ่งใหญ่ครั้งล่าสุดของเขา…

อย่าเผลอกระพริบตา

ไม่งั้นเจ้าอาจเสียท่าให้กับข้า

ราชาแห่งขุนเขา

แบรนด์

แบรนด์ ฟอร์กการ์ด คือราชาแห่งหินเหนืออาณาจักรแห่งขุนเขา ซึ่งแต่งตั้งโดยสภาคนแคระ รับผิดชอบดูแลปกป้องไททันไอซ์แลนด์และเผ่าพันธุ์คนแคระ และอยู่ในสายของการสืบราชสันตติวงศ์ของราชาที่น่าเคารพนับถือ แบรนด์ยังประสบความสำเร็จในการนำทางประชาชนของเขาผ่านวิกฤตร้ายแรงเมื่อ 100 ปีที่แล้ว ซึ่งได้เสริมความแข็งแกร่งให้กับความเชื่อของเขาในสิทธิของกษัตริย์ที่ไททันมอบให้ในการปกครองด้วยอำนาจเบ็ดเสร็จเพื่อประโยชน์ที่ดียิ่งกว่า แม้ว่าวิธีการปกครองไร้ซึ่งความยืดหยุ่นนี้ยังไม่ได้พิสูจน์ แต่ก็ได้รับความนิยมจากคนบางกลุ่ม
โดยเฉพาะฮัสเซลหัวหน้าผู้อาวุโสของตระกูลโมลเทน ตระกูลฟอร์กการ์ดได้ผลิตนักรบที่เก่งกาจของอาณาจักรภูเขามามากมายตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา
ตั้งแต่อิเนราส ฟอร์กการ์ด ที่ทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกันส่วนตัวให้กับ จอร์จ โมลเตนไฟร์ ราชาแห่งหินคนแรก

ซึ่งถึงแม้ว่าแบรนด์จะอายุมากว่าหลายศตวรรษแล้วก็ตาม แบรนด์เองก็เป็นนักรบคนแคระที่มีความสามารถอย่างยิ่งยวดตั้งใจที่จะเป็นแบบอย่าง ในตัวเขาเองอุดมคติการต่อสู้ที่เข้มงวดแบบเดียวกับที่ทหารของเขาต้องการ หรืออย่างที่เขามักจะพูดว่า “พลังไม่ได้มาจากปาก แต่มาจากคมขวาน” ภาระหน้าที่วางอยู่บนหัวของแบรนด์อย่างหนักดั่งเช่นมงกุฎของเขา และบางครั้งเขาก็อดไม่ได้ที่จะไตร่ตรองถึงวันเวลาในวัยหนุ่มของเขาและค่ำคืนที่สนุกสนานในโรงเตี๊ยมภายใต้หิมะ ทว่าความจริงอันโหดร้ายต้องส่งเขาและความสุขออกไปยังนอกอาณาจักรแห่งวัยเยาว์อันเงียบสงบ…

คำนับ

ราชาของเจ้า!

คาซิม

แกร์เรล

เฮกเตอร์

กูเบค

เออร์แซคจอมคลั่ง

โอคาจอมโฉด

ไฮดิสเซีย

มังกรดำอัสรีนา

ซิลิน

สะวันนา

มัลเฮก

โยลันดาศักดิ์สิทธิ์

ฟลาเรนซ์

โอปอล

บูลิน

เทีย

เอฟเวอร่า

โยลันดา

อิโมเจน

เรเชล

เบลล่า

ไกโรนูล

ดาร์ซี

ยูไรอัน

ลิเดีย

การ์เน็ต

อีฟลิน เฟิร์สดอว์น

นิคลอส

นิคลอสผู้มืดมน

วาเลอเรีย

อันเดรวิญญาณฉลาม

บอลเบอริธ

เซียร่า

อบาดอน

แกนเจโล่

เดสมอนด์

แบล็กฮอร์น

ทาชีร์

แบชลาร์ด

ก็อดเฟรย์

ไซเรส

มิสเตเซีย

เวอร์จิล เกราะศักดิ์สิทธิ์

ธอร์

ริก

แบรนด์

Story Background

การอบรบเลี้ยงดูแบบก็อบลินดั้งเดิมที่คาซิมได้รับมาตั้งแต่เด็กได้ปลูกฝังความเชื่อหลักสองประการในชีวิตของเขา หนึ่งคือการให้ค่าสมบัติเหนือสิ่งอื่นใด และสองคือการพยายามไขว่คว้ามันมาอย่างไม่หยุดยั้ง ดังนั้นคาซิมจึงได้ฝึกปรือฝีมือในศิลปะการโจรกรรมหลุมฝังศพตั้งแต่อายุยังน้อย และคอยฟังข่าวลือเกี่ยวกับสมบัติอยู่เสมอ เมื่อใดก็ตามที่เขาได้ยินข่าวว่ามีสมบัติอยู่ที่ไหน เขาจะลองไปเสี่ยงโชคดูที่นั่น

ในบรรดาศัตรูจำนวนนับไม่ถ้วนของคาซิมที่มีอยู่ทั่วออเรลิก้า กลุ่มผู้ค้าขายที่ทำการค้าอยู่รอบทะเลทรายไคซัสคงเป็นกลุ่มคนที่เกลียดขี้หน้าเขามากที่สุด เพราะกลุ่มหัวขโมยก็อบลินที่กำลังขยายตัวของเขาคอยดักปล้นคนตามเส้นทางไปเรื่อย และทำลายความเชื่อมั่นของผู้พิทักษ์ นอกจากนี้คาซิมเป็นเพียงโจรที่เก่งที่สุดของกลุ่มโจรที่เต็มไปด้วยหัวขโมยมากความสามารถที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษเท่านั้น ความเชี่ยวชาญเหล่านี้ครอบคลุมถึงการขุดอุโมงค์ใต้ดินและการผลิตระเบิด ด้วยเหตุนี้ คาซิมและกลุ่มโจรของเขาจึงสามารถเก็บรวบรวมทรัพย์สมบัติได้มากมายมหาศาลภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี

ในไม่ช้า กลุ่มของคาซิมได้กลายเป็นกลุ่มที่โดดเด่นและร่ำรวยที่สุดภายในดินแดนก็อบลิน พวกเขาร่ำรวยพอที่จะบังคับแม้กระทั่งกูเบค ซึ่งควรเป็นหัวหน้าของพวกเขาให้ร่วมมือกับพวกเขา ทว่าคาซิมไม่ใช่คนโง่ และตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่ากูเบคนั้นเป็นคนขี้ขลาดและการพึ่งพาอสูรฮอเรซมากเกินไปทำให้สถานะการปกครองของเขาไม่แข็งแกร่งนัก เมื่อรู้ดังนี้ คาซิมจึงเริ่มวางแผนร่วมกับกลุ่มอื่น ๆ ของไคซัส เพื่อหาทางขึ้นเป็นผู้นำโดยชอบธรรมของก็อบลิน

Story Background

นับเป็นเวลาที่ผ่านมาเนินนานแล้วนับตั้งแต่ที่ชาวบันทัส ผู้อาศัยแห่งไคซัส นั้นมีอิทธิพลอำนาจอยู่เหนือยิ่งกว่าทวีปออเรลิกา นับจากพื้นที่อันกว้างขวางของอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ หรือจะเป็นสิ่งปลูกสร้างที่มีโครงสร้างอันตระการตาที่ผสานไว้ด้วยเวทมนตร์ เมื่อวันเวลาผ่านไปกว่าศตวรรษ ที่นี่ยังคงมีวิหารราโมซที่ตั้งตระหง่าน มันเป็นทัศนียภาพภาพที่น่าประทับใจซึ่งช่างเข้ากับพระอาทิตย์อัสดงเหลือเกิน อีกทั้งยังซากปรักหักพังของวิหารต่าง ๆ ของทะเลทรายที่ยังคงเหลืออยู่ ชาวบันทัสในปัจจุบันนั้นมีจำนวนไม่มากนักแล้ว ซึ่งเช่นเดียวกับพวกการ์เรลที่ยังอุทิศตนในการอุปถัมภ์ประเพณีอันโบราณอย่างเงียบสงบจากภายในของวิหารศักดิ์สิทธิ์การ์เรลนั้นนับได้ว่าเป็นผู้สืบทอดประเพณีอีกคนหนึ่งของผู้อาวุโสบันตู ความภาคภูมิใจของเขานั้นมาจากการใช้เวลานับไม่ถ้วนในการฝึกฝนความแข็งแกร่งในการต่อสู้ ทั้งภายในวิหารของตน เมื่อเผชิญหน้ากับภัยพิบัติต่างๆ ที่มองเห็นได้ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ ซึ่งเขานั้นก็สามารถมองทะลุไปถึงแนวทางในการปลดปล่อยพลัง ซึ่งชาวบันทัส เรียกสิ่งนี้ว่า “มาคูน่า” หลายศตวรรษผ่านไป การฝึกอบรมที่เรียนรู้ไปนั้นก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลย เช่นเดียวกับนักรบของอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่แห่งออเรลิกา ในที่สุดแล้วการ์เรลก็ตัดสินใจที่จะยอมปล่อยมือจากอำนาจและพลังที่มีเพื่อสิ่งที่อยู่ในจิตใจของเขา ซึ่งก็คือ – อวตารสี่แขนแห่งไฟและพละกำลังการ์เรลนั้นได้ตื่นขึ้นมาจากการกำเนิดใหม่ในบ่อเพลิงที่โหมลุกท่วม ร่างของเขารายล้อมรอบๆ ตัวด้วยคลื่นพลังแห่งไฟ ซึ่งแผ่ออกมาจากร่างกายที่ดูอ่อนแรง เขาลุกยืนขึ้น ตาลุกเบิกโพลง ผมปลิวพลิ้วไสวราวกับได้รับแรงปะทะอันมหาศาล อีกทั้งด้านหลังเขายังมีใบหน้าที่สะพรึงกลัวของมาคูน่าสี่แขน การ์เรลได้หันไปที่บริเวณเส้นขอบฟ้าของเหนือน้ำ เขานั้นพิจารณาถึงพลังของผู้อวตารที่ลุกไหม้ขึ้นเป็นของตนนั้น ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเขามีกำลังพอที่จะออกไปจัดการกับพวกไคซัส หรือบางทีอาจไปยึดทวีปออเรลิกาเลยก็สามารถทำได้

Story Background

เฮกเตอร์นั้นอาจเป็นอะไรที่เหนือกว่านักรบ ด้วยความกระหายการต่อสู้โดยสัญชาตญาณ ผู้มุ่งมั่นที่จะกระโจนเข้าสู่สนามรบและหลงใหลในการออกศึกมากกว่าใคร ๆ ด้วยความหลงไหลในการต่อสู้นั้น เฮกเตอร์โค่นอริยอดฝีมือในเผ่าของตนได้ลงอย่างราบคาบก่อนที่เขาจะออกเดินทางเพื่อตามหาคู่ต่อสู้ที่คู่ควรกับฝีมือของตน เส้นทางที่ชักนำให้เขาไปโดยเลี่ยงไม่ได้นั้น ได้นำพาเขาและเหล่าผู้หลงใหลในการรบราฆ่าฟันไปยัง “แดนศักดิ์สิทธิ์” ของเหล่านักรบในสังเวียนเลือดอย่างสมรภูมิรบเลือดนั่นเอง นักรบคนอื่น ๆ จากเผ่าเดียวกันของเฮกเตอร์นั้นมักพูดในทำนองยกย่องถึงยุคอันรุ่งโรจน์และความแข็งแกร่งที่หลากหลายมากมายของเหล่านักรบจากทั่วทั้งออเรลิกา ลานประลองที่ไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่แห่งนี้ หากไม่คำนึงถึงแหล่งที่มาของเรื่องราวแล้ว บางครั้งที่นี่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง การค้าทาส ผู้ถูกเนรเทศ และสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำทั่วไปไม่สามารถหาหนทางอันจะไปสู่รุ่งโรจน์ได้เลย ในที่สุดเฮคเตอร์ก็มาถึงไคซัสหลังจากผ่านไประยะหนึ่งเพื่อค้นหาองค์กรการค้าที่เน้นด้านต้นทุนมากกว่าที่เขาคาดไว้ ความฝันก็คือความฝัน เฮคเตอร์ลงชื่อสมัครใช้ อย่างน้อยตั้งใจที่จะพิชิตผู้ท้าชิงทุกคนที่นี่ เช่นเดียวกับที่เขาทำเพื่อผู้คนของเขาเอง ตำนานใหม่ถือกำเนิดขึ้นในวันนั้น ซึ่งมีความสำคัญมากกว่าเรื่องราวของลานประลองเลือดในบางมุมมอง เพราะหลังจากนั้นไม่นาน เฮคเตอร์ ก็ครองการแข่งขันทั้งหมดและสร้างประวัติศาสตร์ในฐานะแชมป์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดของลานประลอง!

Story Background

กูเบค หัวหน้าของก๊อบลินทะเลทราย ได้รับตำแหน่งผู้นำนั้นมาจากความฉลาดแกมโกงอย่างไร้ความปราณีและหลักแหลมมากกว่าพี่น้องที่มีแต่ความเจ้าเล่ห์เพียงคนเดียวของตน ซึ่งมีชีวิตหลายชีวิตที่ต้องถูกสังเวยไปกับการเสด็จขึ้นครองอำนาจ
ของกูเบค และนั่นคือวิถีของก็อบลิน ตัวกูเบคนั้นมีข้อได้เปรียบอย่างหนึ่งที่ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขาไม่มี นั่นคือสัตว์เลี้ยงตัวจ้อยที่มีฤทธิ์และพิษเหลือล้นชื่อว่า “ฮอเรซ” โดยกูเบคบังเอิญไปพบกับมันเข้าในถ้ำแมนตาร์ที่อันตรายสุดจะหยั่งในการเดินทางออกล่าสัตว์ที่โชคไม่ค่อยนำพาสักเท่าไหร่นัก แต่โชคดีที่เขารอดพ้นทั้งเอาชีวิตรอดและไข่แมนตาร์ตัวเล็กที่ใกล้จะฟักออกมาได้ และภายหลังมันได้กลายเป็นโฮเรซนั่นเอง

มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะเป็นทรงกลมคล้ายหนอน มีเขาและเกล็ด อาศัยอยู่ทางตอนใต้และตะวันตกของทะเลทราย สิ่งมีชีวิตนี้จะไม่เป็นอันตรายเลยหากไม่ใช่เพราะพิษร้ายแรงที่ซ่อนอยู่หลังเขี้ยว ซึ่งสามารถฆ่าออร์คได้ด้วยการกัดเพียงครั้งเดียว กูเบคเฝ้าดูแลโฮเรซที่กำพร้ามารดาได้เป็นอย่างดีนับตั้งแต่มันถือกำเนิดขึ้นมา และโฮเรซเองผูกพันกับกูเบคเป็นอย่างมากในฐานะสัตว์ผู้คุ้มครองสุดอันตรายของเขา ทำให้กูเบคสามารถไปไหนมาไหนในเขตของตนได้อย่างไม่ระแวงใจ เพราะตามปกติแล้ว ก็อบลินเป็นเผ่าพันธุ์ที่ค่อนข้างไม่จงรักภักดี และอาจต้องขอบคุณฮอเรซที่ทำให้กูเบคดำรงตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มของตนได้เป็นเวลาเนิ่นนานจนแทบไม่น่าเชื่อ”

Story Background

เออร์แซคเป็นผู้นำที่ไม่น่าเป็นไปได้ในกรณีใด ๆ เลย เออร์แซคพบว่าตัวเองอยู่ในตำแหน่งแม่ทัพของมหากองทัพหลังจากเอาชนะอดีตเพื่อนและหัวหน้าหน่วยรบโอคาอย่างหวุดหวิดในการต่อสู้อย่างสิ้นหวังเพื่อช่วยผู้คนของเขาให้พ้นจากความมืดมิดที่ชั่วร้าย สำหรับพี่น้องของเขา เออร์แซคมีคุณสมบัติของมนุษย์มากเกินไป ความเห็นอกเห็นใจ การเก็บตัวและความไม่เต็มใจที่จะสู้ ทว่าความรักและความห่วงใยที่เขามีต่อกองกำลัง และความกว้างของการมองเห็นไม่สามารถปฏิเสธได้ และด้วยเหตุนี้คุณสมบัติ “ผี” ที่น้อยกว่าของเออร์แซคสามารถทนได้ การเดินทางอันยาวนานของเออร์แซคสู่ตำแหน่งแม่ทัพสงครามได้ให้ข้อมูลที่ละเอียดมากกว่าปกติของออร์คผู้ปกครองทั่วไป ซึ่งนั่นเป็นทักษะที่เขานำไปใช้ได้ดีในการท้าทายในครั้งแรกของการครองราชย์ใหม่ของตน หรือเรานั้นเรียกว่าการรุกรานของมังกรคราม เออร์แซคนำบลูสแซคและพี่น้องคนอื่น ๆ ในการสู้รบกับ อาซัวร์ผู้ยิงใหญ่ ผู้ซึ่งไม่ชอบกินพวกออร์คและก็อบลิน ในที่สุดกลุ่มผู้แข็งแกร่งก็สังหารมังกรได้ โดยที่เออร์แซคก็ลงมือโจมตีครั้งสุดท้าย จากนั้นเออร์แซคก็อาบด้วยเลือดของมังกร ด้วยความมั่นใจว่าเขาจะกลายเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งอย่างที่นักรบของเขาต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ

Story Background

อดีตแม่ทัพกองรบอย่างออรัคนั้นปกครองผู้คนภายใต้การดูแลของตนโดยส่วนใหญ่มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะกลับไปบ้านบรรพบุรุษของตน – ทุ่งสายลมเอ่ย สถานที่ ๆ ซึ่งในปัจจุบันได้รับการคุ้มกันไว้อย่างแน่นหนาภายในอาณาเขตของจักรวรรดิเฮอชิงเบิร์ก อีกทั้งยังได้รับการคุ้มครองจากป้อมปราการโซลาร์ที่ไร้พ่ายอีกด้วย ความทะเยอทะยานดังกล่าวนั้นคงเป็นเพียงแค่ความปรารถนา หากไม่ใช่เพราะอำนาจใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิมที่ดยุคนิคลอสเปิดเผยต่อโอคาซึ่งทำให้ภารกิจทางการทูตของเขาเปลี่ยนไป อีกทั้งโอคาและกองทหารของเขายังแปรพักตร์ไปอยู่ฝ่ายดยุคในการต่อสู้กับจักรวรรดิ นิคลอสเปิดเผยพลังดังกล่าวต่อโอคาที่เกาะและสถานที่ฝังศพของ ราชาศักดิ์สิทธิ์คาร์ลอสที่จะ “คิดยอมให้กองกำลังของเจ้าเข้าบดขยี้ป้อมปราการโซลาร์ให้เป็นผุยผงได้ง่ายๆ” และโอคารู้ว่ามันเป็นเรื่องจริง

นิคลอสเองก็ได้พบผู้รับที่เต็มใจ และในเวลาโอคาและพี่น้องของเขาก็เข้ามาครอบครองแหล่งพลังอันมืดมิดนี้เช่นกันภายใต้การดูแลของนักบวชหญิงชั้นสูงวาเลอเรียที่แปลกพิศดารและน่าเกรงขามของเขา ด้วยพลังของเศษผลึกความโกลาหลซึ่งโอคาได้กลืนกินเข้าไปในร่างกายของเขาเพื่อใช้พลังเดียวกันกับที่ นิคลอส และวาเลเรียควบคุม โอคาพบว่าตัวเองกลายเป็นจอมแม่ทัพที่ทรงอิทธิพลที่สุดที่เคยมีมาในหลายชั่วอายุคน โอคาตระหนักว่าเขาและพี่น้องที่กลายเป็นอสูรมืดของเขาตอนนี้มีความสามารถที่ไม่อาจปฏิเสธได้ในการยึดดินแดนของบรรพบุรุษของพวกเขากลับคืนมา และทำลายเออร์แซคผู้ถูกสาป หนามสุดท้ายที่คงเหลืออยู่ในตัวเขา

Story Background

ด้วยอายุเพียงแค่พันปี ซึ่งปกติจะเป็นเรื่องที่นึกไม่ถึงสำหรับเจ้าหญิงมังกรน้ำแข็งที่อายุน้อยจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งราชินี อย่างไรก็ตาม นี่ถือว่าไม่ใช่เวลาปกติ เนื่องจากนักล่าจอมละโมภของจักรวรรดิเฮอชิงเบิร์กนั้นได้ทำให้เผ่าพันธุ์ของเธอมุ่งไปสู่การสูญพันธุ์ ไฮดิสเซียมักถูกล่อลวงโดยเส้นทางแห่งการล้างแค้นของสะวันนา แต่สุดท้ายดูเหมือนว่าจะได้รับการอภัยมากกว่าที่เธอคิดไว้ ไฮดิสเซียนั้นไม่เต็มใจที่จะเดินไปตามเส้นทางอันมืดมิดของสหายที่เคารพนับถือของตน แทนที่จะนำพาผู้คนไปยัง บึงเกล็ดมังกร และคอยเฝ้าดูแลอยู่ไม่ห่างจากสายตา แต่ทว่า มังกรน้ำแข็งที่ถูกหลอกล่อนั้นได้พิสูจน์แล้วว่าอายุขัยที่สั้นเนื่องจากเกิดความมืดใหม่กล้ำกรายเข้ามาคุกคามอีกครั้งเพื่อทำลายออเรลิกาทั้งหมด…

Story Background

อัสรีนาถูกตราเครื่องหมายอย่างทุกข์ทรมานตั้งแต่เธอกำเนิดขึ้นมาในฐานะตนเป็นผู้ถูกขับไล่จากพวกเอล์ฟ สำหรับลูกหลานเชื้อสายมังกรอย่างเธอ ก็เหมือนกับคนอื่น ๆ ที่มีเชื้อสายมังกรที่ถูกขับไล่ออกมา ทั้งนี้เพราะว่าการที่มีสถานะลูกครึ่งนั้นเป็นสิ่งที่น่าอับอาย\nซึ่งอัสรีนาเองก็รู้ถึงสถานะทางสังคมของเธอเองว่ามีสถานะอันต่ำต้อย แต่สำหรับนักบวชหญิงซาวานาแล้ว นั่นไม่ใช้เรื่องที่แย่นักเลยซาวานานั้นเป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มผู้ดูแลของเธอ ที่ปฏิบัติกับอัสรีนาด้วยความเมตตา โดยในเวลาต่อมานั้น ความจริงที่อัสรีนาได้ถูกทำเครื่องหมายตั้งแต่แรกเกิดเพื่อทำพิธีนั้นก็เพื่อเป็นการสืบทอดผ่านอุปกรณ์หลายชั่วอายุคน ซึ่งเป็นการสลักทุก ๆ พันปี ทั้งนี้เพื่อให้เทพเจ้าแห่งมังกรโบราณแลกกับของกำนัลที่มีพลังเหนือกว่าพลังอื่น ๆ ในทวีบออเรลิกา ซึ่งเชื่อกันว่าหากเครื่องสังเวยไม่ปฏิบัติตามเทพเจ้ามังกรองค์นี้ก็จะเกิดการพิโรจน์และทำลายทุก ๆ เผ่าพันธุ์บนโลกนี้ทันที ซึ่งวิธีนี้สามารถหลีกเลี่ยงง่าย ๆ โดยการถวายผู้ที่ถูกตราบูชายัญ\nฉะนั้นอัสรีนาจึงได้รับการดูแลในฐานะผู้ขับไล่จากเผ่าเพื่อว่าเธอจะเป็นผู้ที่ทำพิธีโบราณนี้ ซึ่งเธอนั้นได้ทำเครื่องหมายก่อนที่เธอจะเกิดโดยหัวหน้านักบวชคนก่อน ในส่วนของเธอนั้นซาวาน่าก็ได้รู้สึกว่าตนมีส่วนที่ต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่อันที่จะต้องเสียสละของอัสรีนา รวมถึงรู้สึกเสียดายถึงช่วงเวลาของสตรีผู้นี้ที่ถูกลิขิตให้อยู่ท่ามกลางความโหดร้ายของเปลวเพลิง แต่ทว่าหากไม่ทำเช่นนี้แล้วการเสียสละจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ในไม่ช้าก็มีกลุ่มใหม่ที่มีความแข็งแกร่งและทรงพลังอย่างยิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นที่ไหนมาก่อนในยุคของมังกร ได้เกิดขึ้นมาในทวีปออเรลิกา ซึ่งก็คือจักรวรรดิเฮอซิงเบิร์ก ครั้งนี้พวกมันเพียบพร้อมไปด้วยกองกำลังจอมเวทย์มนต์ที่ทรงพลัง ซึ่งมีความทุ่มเทพยายามและออกล่ามังกร โดยเหล่านักล่ามังกรเหล่านี้ได้ทำการกวาดล้างผู้คนของนักบวชหญิงระดับสูงซาวาน่าไปมากต่อหน้าต่อตาเธอ ซึ่งนั้นทำให้หัวหน้านักบวชหญิงผู้เคร่งศาสนาผู้นี้เข้าร่วมกับฝ่ายมังกรและมีความพยายามอย่างยิ่งที่จะช่วยเหลือผู้คนของเธอ ด้วยการประสานเป็นหนึ่งเดียวกับความมืด\nข่าวการจากไปของซาวานานั้น ช่วยกระตุ้นให้อัสรีนาค้นหา และช่วยขอให้อดีตคณะนักบวชหญิงให้เดินทางหันกลับไปสู่เส้นทางของเทพเจ้ามังกรของพวกตน ส่วนซาวานานั้นไม่ได้สนใจถึงการเสียสละ ของเทพเจ้ามังกรหรืออะไรเท่าไรนัก ถึงจุดนี้ได้เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่าชะตากรรมอันสุงสุดของอัสรีนา ที่ได้กล่าวว่านักล่ามังกรของจักรวรรดิไม่สามารถที่จะบุกเข้ามาในดินแดนของภูเขาได้นั้น อัสรีนารู้สึกว่าตัวตนของเธอต้องการที่จะสร้างประโยชน์อะไรบ้าง เธอจริงตั้งใจแน่วแนที่จะออกตามหาความจริงของปัญหานี้ ก็จริงอยู่ที่ว่าการทำลายล้างเผ่ามังกรนั้น ได้ช่วยให้อัสรีนาต้องพ้นจากชะตากรรมอันเลวร้าย การบุกรุกนั้นทำให้เธอรอดและก็ตัดสินเลือกเดินทางในเส้นทางชะตากรรมของตัวเองที่ว่าจะเลือกเป็นเอล์ฟหรือมังกร หรือไม่เป็นใครเลยในทวีปออเรลิกา\nไม่ว่าท้ายที่สุดอัสรีนาก็สามารถรอดชีวิตจากในวันที่เธอควรจะเสียสละตน ซึ่งนั้นไม่ใช้ว่าเทพเจ้ามังกรนั้นจะไม่พอใจ แต่ในทางกลับกันนั้นในระหว่างที่เธอถูกสายฟ้าฟาดหรือโดนลงโทษในวันนั้นทำให้เธอไม่ได้รับอันตรายใด ๆ อีกทั้งเธอยังได้รับเวทย์มนต์อันทรงพลังขึ้นมาใหม่ อัสรีนาได้รับเสริมความแข็งแกร่งด้วยความว่องไวทางเวทย์มนต์ที่เพิ่มมากขึ้น โดยยังสับสนอยู่ว่าเป็นพลังงานธรรมชาติหรือมาจากในตัวของเธอเอง แต่อัสรีนานั้นก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าที่จะเปลี่ยนความเกลียดชังในอดีต ส่วนตัวเธอนั้นยอมที่จะเสียสละให้กับตัวเอง แต่ยอมเสียสละให้กับผู้อื่น ให้กลายเป็นการมุ่งที่จะทำร้ายเผ่าพันธ์ของมังกรทั้งหมดให้ราบสิ้น

Story Background

มนุษย์กิ้งก่าเลือดเย็นอาศัยอยู่ในหนองน้ำหนาแน่นของหนองน้ำมังกรซึ่งมีการวางไข่ และฟักไข่เป็นพันๆ ฟอง จากนั้นจึงฟักไข่ในบ่อเกิดขนาดใหญ่ซึ่งควบคุมโดยความชื้นของบึงที่ไม่เอื้ออำนวย คาดว่าไข่หลายหมื่นฟองจะนำกิ้งก่าตัวใหม่เข้าสู่กลุ่มรังผึ้งในแต่ละรอบการกำเนิด ไม่มีใครสามารถระบุพ่อแม่ของพวกเขาได้ และเป็นไปได้มากว่าสายตามนุษย์จะแยกไม่ออกจากความแตกต่างทางกายภาพที่เกี่ยวข้องกับระบบวรรณะมนุษย์กิ้งก่าสี่ระดับ ไข่มนุษย์กิ้งก่าฟักออกมาแบบสุ่มเป็นหนึ่งในสี่วรรณะใหญ่ๆ: มนุษย์กิ้งก่า มนุษย์กิ้งก่านักรบ ผู้มองญาณ จอมภูติ

สัตว์ยอดนักรบเป็นสัตว์ที่แข็งแกร่งที่สุดและใหญ่ที่สุดในสายพันธุ์ของมัน มีความสามารถในการแสดงความแข็งแกร่งทางกายภาพและไม่มีอะไรมากไปกว่า มัลเฮกผู้ซึ่งอยู่เหนือกว่าสัตว์ร้ายตัวอื่นที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดามนุษย์กิ้งก่าด้วยกัน มัลเฮกผู้ยิ่งใหญ่ได้นำภารกิจมากมายเพื่อต่อสู้กับเพื่อนบ้านคนแคระที่น่ารังเกียจของตน ผู้ลงมือในเรื่องสารพิษที่ไหลบ่าเข้ามา รวมถึงควันที่เป็นกรดที่สร้างความเสียหายให้กับสระแห่งการกำเนิดในแต่ละวัน กลอุบายของมัลเฮก ซึ่งรวมถึงการทำลายกองทหารทั้งหมดของหน่วยรักษาการณ์ของเผ่าโมลเทนที่ติดอาวุธอย่างดีซึ่งนำโดยฮัสเซลหัวหน้าศัตรูและจอมปราชญ์ของพวกเขา ซึ่งมัลเฮกนั้นได้หยุดเคลื่อนไหวเป็นเวลานานพิเศษ ซึ่งนี่แม้แต่หน่วยสำรวจของคนแคระเองก็เผลอเสียท่าในความปลอดภัยของสิ่งรอบข้างมากกว่าสังเกตเห็นภัยที่กร้ำกรายเข้ามา ค่ำคืนมาถึงและทางมัลเฮกเองพร้อมที่จะโจมตีหน่วยลาดตระเวนที่หลับใหลและได้ค้นพบว่าหางของเขาแข็งอย่างมีประสิทธิภาพในหนองน้ำ ซึ่งเป็นหนองน้ำน้ำแข็งทางเหนือที่หนาวเย็น เขาฉีกมันออกแล้วทิ้งตัวล้มลงบนนักรบที่หลับใหลไปด้วยความโกรธสุดขีดในการต่อสู้ ซึ่งเขามองเห็นว่าฮัสเซลได้รับบาดเจ็บสาหัสในการต่อสู้ที่ได้ประจักษ์ว่าแฮสเซลบาดเจ็บอย่างหนัก

ทางมัลเฮกได้นำหัวของคนแคระที่ถูกตัดออกแสดงต่อหน้าเหล่ามนุษย์กิ้งก่าในรังและตัวซิลินนักพยากรณ์เองก็ได้ประกาศว่ายอดฝีมือสุดอัศจรรย์นั้นอยู่ในหมู่พวกเขานี่เอง ซิลิน ประดิษฐ์หางของน้ำแข็งที่ส่องแสงระยิบระยับและมอบสัญลักษณ์แห่งความแข็งแกร่งให้กับ มัลเฮก – “หอกของผู้เผยพระวจนะ” นับแต่นั้นมา มัลเฮกได้รับชัยชนะอย่างต่อเนื่องมากมายในฐานะทหารมนุษย์กิ้งก่าภายใต้คำสั่งของซิลินผู้ซึ่งได้ประกาศถึงการปรากฏตัวของอัตว์อสูรร้ายผู้ทรงพลัง ซึ่งนั่นก็เป็นหลักฐานเพียงพอแล้วที่จะแสดงถึงเจตจำนงของเหล่าทวยเทพต่อมนุษย์กิ้งก่าที่จะขับไล่คนแคระออกจากอาณาจักรแห่งขุนเขาไปในท้ายที่สุด

Story Background

มังกรนักบวชหญิงระดับสูงผู้นี้ได้สร้างชื่อให้กับตัวเองว่าเธอเป็นหนึ่งในมังกรไม่กี่ตัวที่นักล่ามังกรแห่งจักรวรรดิเฮอชิงเบิร์ก กลุ่มนักล่าจอมเวทย์ และผู้ไต่สวนหวาดกลัวอย่างแท้จริง

เธอนั้นเป็นสมาชิกคนหนึ่งของเผ่าพันธุ์สัตว์เลือดเย็นที่เก่าแก่ที่สุดของออเรลิกา ซึ่งมีเรื่องราวที่เล่าขานกันมาว่าอาณาจักรที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ ซาวันนาใช้เวลาสามพันกว่าปีนับกำเนิดมาในการดำรงอยู่ตามสิ่งที่เธอเชื่อว่าเป็นเจตจำนงโบราณของลอร์ดมังกรในการปกป้องออเรลิกาและเผ่าพันธุ์มนุษย์ ซึ่งเป็นประชากรที่มีอายุขัยน้อยกว่า ความสงบสุขระหว่างมนุษย์และเผ่าพันธุ์มังกรอาจคงอยู่ได้นานหากไม่มีมหาอำนาจที่แท้จริงของออเรลิกา จักรวรรดิเฮอชิงเบิร์กที่มีกองทัพ นักล่ามังกร ที่บ้าคลั่งนั้นสามารถเข้าบุกโจมตีได้แม้แต่เผ่ามังกรที่ทรงพลังที่สุด ในไม่ช้า งานเลี้ยงล่าสัตว์ขนาดใหญ่จากเมืองหลวง ก็ได้คัดเลือกเผ่าพันธุ์โบราณจำนวนมาก

การสังหารหมู่ที่โหดร้ายได้วางเมล็ดพันธุ์แห่งการเปลี่ยนแปลงอันน่าทึ่งของสะวันนา สะวันนาเริ่มตระหนักว่าการแก้แค้นอาจเป็นความชั่วร้ายที่จำเป็นต่ออำนาจของจักรวรรดิอย่างช้าๆ แต่แน่นอน นั่นถือว่าเป็นเส้นทางที่ดึงดูดสะวันนาเข้าสู่เส้นทางของอสูรความมืด ทั้งชีวิตของมังกรลิชและการแชร์ความรู้สึกไม่สบายใจกับนิคลอสผู้ด้วยกัน…

Story Background

มนุษย์กิ้งก่าเลือดเย็นอาศัยอยู่ในหนองน้ำหนาแน่นของหนองน้ำมังกรซึ่งมีการวางไข่ ฟักไข่ และฟักไข่เป็นพันๆ ฟอง จากนั้นจึงฟักไข่ในบ่อเกิดขนาดใหญ่ซึ่งควบคุมโดยความชื้นของบึงที่ไม่เอื้ออำนวย คาดว่าไข่หลายหมื่นฟองจะนำกิ้งก่าตัวใหม่เข้าสู่กลุ่มรังผึ้งในแต่ละรอบการกำเนิด ไม่มีใครสามารถระบุพ่อแม่ของพวกเขาได้ และเป็นไปได้มากว่าสายตามนุษย์จะแยกไม่ออกจากความแตกต่างทางกายภาพที่เกี่ยวข้องกับระบบวรรณะมนุษย์กิ้งก่าสี่ระดับ ไข่มนุษย์กิ้งก่าฟักออกมาแบบสุ่มเป็นหนึ่งในสี่วรรณะใหญ่ๆ: มนุษย์กิ้งก่า มนุษย์กิ้งก่านักรบ ผู้มองญาณ จอมภูติ

สัตว์ยอดนักรบเป็นสัตว์ที่แข็งแกร่งที่สุดและใหญ่ที่สุดในสายพันธุ์ของมัน มีความสามารถในการแสดงความแข็งแกร่งทางกายภาพและไม่มีอะไรมากไปกว่า มัลเฮกผู้ซึ่งอยู่เหนือกว่าสัตว์ร้ายตัวอื่นที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดามนุษย์กิ้งก่าด้วยกัน มัลเฮกผู้ยิ่งใหญ่ได้นำภารกิจมากมายเพื่อต่อสู้กับเพื่อนบ้านคนแคระที่น่ารังเกียจของตน ผู้ลงมือในเรื่องสารพิษที่ไหลบ่าเข้ามา รวมถึงควันที่เป็นกรดที่สร้างความเสียหายให้กับสระแห่งการกำเนิดในแต่ละวัน กลอุบายของมัลเฮก ซึ่งรวมถึงการทำลายกองทหารทั้งหมดของหน่วยรักษาการณ์ของเผ่าโมลเทนที่ติดอาวุธอย่างดีซึ่งนำโดยฮัสเซลหัวหน้าศัตรูและจอมปราชญ์ของพวกเขา ซึ่งมัลเฮกนั้นได้หยุดเคลื่อนไหวเป็นเวลานานพิเศษ ซึ่งนี่แม้แต่หน่วยสำรวจของคนแคระเองก็เผลอเสียท่าในความปลอดภัยของสิ่งรอบข้างมากกว่าสังเกตเห็นภัยที่กร้ำกรายเข้ามา ค่ำคืนมาถึงและทางมัลเฮกเองพร้อมที่จะโจมตีหน่วยลาดตระเวนที่หลับใหลและได้ค้นพบว่าหางของเขาแข็งอย่างมีประสิทธิภาพในหนองน้ำ ซึ่งเป็นหนองนน้ำน้ำแข็งทางเหนือที่หนาวเย็น เขาฉีกมันออกแล้วทิ้งตัวล้มลงบนนักรบที่หลับใหลไปด้วยความโกรธสุดขีดในการต่อสู้ ซึ่งเขามองเห็นว่าฮัสเซลได้รับบาดเจ็บสาหัสในการต่อสู้ที่ได้ประจักษ์ว่าแฮสเซลบาดเจ็บอย่างหนัก

ทางมัลเฮกได้นำหัวของคนแคระที่ถูกตัดออกแสดงต่อหน้าเหล่ามนุษย์กิ้งก่าในรังและตัวซิลินนักพยากรณ์เองก็ได้ประกาศว่ายอดฝีมือสุดอัศจรรย์นั้นอยู่ในหมู่พวกเขานี่เอง ซิลิน ประดิษฐ์หางของน้ำแข็งที่ส่องแสงระยิบระยับและมอบสัญลักษณ์แห่งความแข็งแกร่งให้กับ มัลเฮก – “หอกของผู้เผยพระวจนะ” นับแต่นั้นมา มัลเฮกได้รับชัยชนะอย่างต่อเนื่ิองมากมายในฐานะทหารมนุษย์กิ้งก่าภายใต้คำสั่งของซิลินผู้ซึ่งได้ประกาศถึงการปรากฏตัวของอัตว์อสูรร้ายผู้ทรงพลัง ซึ่งนั่นก็เป็นหลักฐานเพียงพอแล้วที่จะแสดงถึงเจตจำนงของเหล่าทวยเทพต่มนุษย์กิ้งก่าที่จะขับไล่คนแคระออกจากอาณาจักรแห่งขุนเขาไปในท้ายที่สุด

Story Background

โยลันดานั่งขัดสมาธิอยู่ในมุมหนึ่งของวิหารแห่งรุ่งอรุณอันศักดิ์สิทธิ์ นางกำลังนั่งสมาธิอย่างใจจดจ่อ ทุกอย่างเงียบงัน มีเพียงเสียงลมหายใจของนางเท่านั้น ขณะนี้จิตวิญญาณของนางอาจอยู่อีกโลกหนึ่งก็เป็นได้ “โอ แสงแห่งรุ่งอรุณที่ข้ารับใช้และเทิดทูนบูชา ข้าในฐานะสาวกผู้ซื่อสัตย์อยากวิงวอนขอความเมตตา! ดินแดนของเราได้ทนทุกข์ทรมานมามากแล้ว และกำลังจะเกิดภัยพิบัติอันยิ่งใหญ่ ข้าน้อยขออำนาจที่จะช่วยต้านทานพลังแห่งกลียุคและปกป้องออเรลิก้าด้วยเถิด” โยลันดามีสีหน้าเคร่งเครียดในระหว่างรอคำตอบ นางดูกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด
“พลังที่เจ้ามีนั้นเพียงพอแล้ว” น้ำเสียงที่อ่อนโยนและบริสุทธิ์ได้ดังขึ้นในจิตสำนึกของโยลันดา นี่คือเสียงของเทพธิดาแห่งรุ่งอรุณนั่นเอง “เพียงพอหรือ? ข้ารู้สึกจำนนต่ออำนาจของพลังแห่งกลียุคเหลือเกิน” “โยลันดา เจ้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสูงสุดในภาคีแห่งแสง เจ้ามีเวทมนตร์ที่ทรงพลังและน่าสะพรึงกลัว มันไม่ได้เป็นเพียงพลังในการช่วยชีวิตเท่านั้น แต่มันยังชำระล้างสิ่งชั่วร้ายจากพลังแห่งกลียุคได้อีกด้วย” “แล้วข้าจะใช้พลังเหล่านี้ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดได้ยังไง” โยลันดาตอบกลับโดยใช้สัญญาณจิต “โยลันดา เจ้าไม่จำเป็นต้องหาพลังจากภายนอกหรอก พลังที่เจ้ามีนั้นเพียงพอแล้ว ในตอนนี้เจ้าเอาแต่มองตัวเองในฐานะผู้ปกป้องและผู้รักษา แต่เจ้าอาจลืมไปว่า นอกจากการเป็นผู้พิทักษ์แล้ว เจ้ายังเป็นนักรบที่น่าเกรงขามได้อีกด้วย จำไว้นะ แสงสามารถปกป้องได้และทำลายได้ด้วยเช่นกัน”
“อย่าได้กลัวไฟที่แผดเผาอยู่ในตัวเจ้า จงปลดปล่อยมันออกมา! และเจ้าจะกลายเป็นผู้ลงทัณฑ์ที่น่ากลัว” ทันใดนั้น วิญญาณของโยลันดาก็กลับมา นางสัมผัสได้ถึงอากาศที่ปะทะใบหน้า พื้นแข็งๆ และลมหายใจของตัวเอง นางได้รับคำตอบแล้ว เทพธิดาแห่งแสงได้บอกใบ้ในสิ่งที่โยลันดาก็ไม่เข้าใจนัก แต่มันทำให้นางได้รู้ว่า นางไม่จำเป็นต้องทำหน้าที่ผู้ปกป้องอีกต่อไปแล้ว นางต้องเชื่อในสิ่งที่เทพธิดาแห่งแสงบอก ที่จริงแล้วแสงศักดิ์สิทธิ์ก็มีพลังทำลายล้างมหาศาลเช่นกัน นางไม่ได้เป็นเพียงผู้พิทักษ์ของออเรลิก้าเท่านั้น แต่นางต้องทำหน้าที่ผู้ลงทัณฑ์แห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ในมหาสงครามที่จะมาถึงนี้ด้วย!

Story Background

ฟลาเรนซ์เป็นนักเต้นรำในตำนานของโรงเตี๊ยมทับทิม ทักษะที่ยอดเยี่ยมและใบหน้าที่งดงามชวนหลงใหลของนางได้สะกดใจนักเลงทั่วเกาะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลประจำปีที่ครึกครื้นของพวกเขา

ต้องขอบคุณฟลาเรนซ์ที่ทำให้พวกขี้เมาหรือพวกนักพนันที่เสียผู้เสียคนได้มีช่วงเวลาอันน่ารื่นรมย์บนเกาะโจรสลัดแห่งนี้ เรื่องของนางคงไม่เป็นที่น่าสงสัยนักหากไม่ใช่เพราะนางมีพรสวรรค์รอบทิศ และพฤติกรรมที่ดูเหมือนว่านางจะกำลังตามหาใครหรืออะไรบางอย่างเสียมากกว่าของนาง

ความจริงก็คือฟลาเรนซ์เป็นผู้นำลึกลับคนที่ห้าที่อยู่เบื้องหลังองค์กรปกครองที่เป็นความลับของเกาะนามว่าเดอะไฮฟ์ และนางเป็นผู้เก็บรวบรวมข่าวกรอง แน่นอนว่าฟลาเรนซ์เป็นหัวข้อซุบซิบยอดนิยมเพราะเหตุผลอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน หนึ่งในนั้นคือเรื่องความสัมพันธ์อันลึกลับของนางกับพลูโต เจ้าของโรงเตี๊ยม โดยพยานที่ไม่น่าเชื่อถือได้อ้างว่าพวกเขาเห็นสองคนนี้เต้นรำยามดึกด้วยกัน และการปฏิบัติที่ไร้ความปราณีและไร้ขอบเขตของพลูโตกับชายใดก็ตามที่กล้าทำให้ฟลาเรนซ์เสื่อมเสียชื่อเสียง

Story Background

โอปอลโชคดีที่ได้เกิดมาในครอบครัวเจ้าขุนมูลนาย ทั้งพ่อและแม่ของนางเป็นหัวหน้าในหน่วยผู้พิทักษ์เมืองหลวงของจักรวรรดิเฮอชิงเบิร์ก หน้าที่การงานและสถานะทางสังคมของพ่อแม่มาพร้อมกับความคาดหวังที่โอปอลต้องแบกรับตั้งแต่นางอายุเพียงแค่ 4 ขวบเท่านั้น นางต้องเข้าร่วมโปรแกรมการฝึกเฉพาะที่ผสมผสานวินัยทางการทหาร การฟันดาบ และศิลปะการป้องกันตัวเข้าด้วยกัน นี่เป็นการฝึกที่ดีที่สุดเท่าที่จักรวรรดิมีอยู่ในขณะนั้น และเป็นความหวังที่จะเกลาโอปอลให้กลายเป็นหนึ่งในนักรับที่เก่งที่สุด ความพ่ายแพ้อย่างยับเยินของพ่อนางในการแข่งขันต่อสู้ในจักรวรรดิต่อแวนซ์ ทหารลาเซอ พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าความแข็งแกร่งทางกายเพียงอย่างเดียวไม่อาจเอาชนะเวทมนตร์และทำให้ใครขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของการเป็นนักรบได้ และนี่ทำให้พ่อของโอปอลเปลี่ยนความคิดใหม่ นางถูกส่งไปที่วิทยาลัยแห่งจักรวรรดิ ที่ซึ่งนางจะได้เรียนการร่ายมนตร์พร้อมไปกับการฝึกศิลปะการต่อสู้อันแสนเหน็ดเหนื่อย

ความทุ่มเททางกายและความฉลาดโดยธรรมชาติของโอปอลทำให้เธอได้รับความชื่นชมจากผู้คนในวิทยาลัยในเวลาไม่นาน นอกจากนี้ โอปอลยังค้นพบอย่างอื่นด้วยเช่นกัน และนั่นคือรสชาติแห่งอิสรภาพครั้งแรกของนางที่ไม่ต้องอยู่ใต้กฎที่แสนเข้มงวดของครอบครัวนาง เมื่ออยู่ห่างจากพ่อจอมบงการ โอปอลจึงมีโอกาสได้ค้นพบความสนใจใหม่ ๆ นอกเหนือจากการต่อสู้

โอปอลได้แสดงความสามารถของนางมากที่สุดในหลักสูตรอัจฉริยะทางเวทมนตร์ที่วิทยาลัย และได้รับการชื่นชมและมิตรภาพจากอังกอร์ ครูนักเวทย์ผู้ทรงพลัง อังกอร์เสริมความสามารถของโอปอลด้วยการมอบอาวุธวิเศษที่ไม่เหมือนใครให้นาง หอกระยะไกลมีพลังพิเศษที่ช่วยให้เธอไต่ขึ้นไปยังตำแหน่งหัวหน้าของกองทหารรักษาการณ์ชายแดนของจักรวรรดิได้อย่างรวดเร็ว

มีคนกล่าวว่าวิธีที่เร็วที่สุดในการสูญเสียความฝันคือการเติมเต็มความฝันนั้น เช่นเดียวกับโอปอล การถูกจำกัดให้อยู่ในกรอบด้วยการเป็นนักดาบ และต้องล้อมรอบไปด้วยครอบครัวขุนนางที่มีความสำคัญและฉ้อฉลทำให้โอปอลรู้สึกสิ้นหวัง การศึกษาของนางทำให้นางมองสิ่งที่ผู้พิทักษ์ทำเป็นการกดขี่ชาวบ้าน เพื่อรักษาสถานะของตัวเอง ความคิดแบบขุนนางที่พ่อของโอปอลปลูกฝังให้นางจงรักภักดีต่อราชวงศ์และจักรวรรดิเริ่มค่อย ๆ จางลง โอปอลเริ่มทบทวนบทบาทที่แท้จริงของผู้พิทักษ์ในจักรวรรดิ ความคิดที่ก้องอยู่ในหัวของโอปอลถูกเผยออกมาเมื่อวันหนึ่งลูกน้องที่มาหานางที่บ้านพบว่านางหนีออกจากเมืองไปแล้ว ในที่สุด โอปอลก็คว้าโอกาสในการหนีออกไปจากจักรวรรดิ และการกระทำที่แสดงความกดขี่ไว้เบื้องหลัง…

Story Background

บูลินเป็นสมาชิกของเผ่าทาโค้ ซึ่งเป็นอารยธรรมที่มีความซับซ้อนสูง ซึ่งเทคโนโลยีส่วนใหญ่ของเขานั้น
สร้างบนเครือข่ายของผลึกพลังงานที่ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งนั้นทำให้พลังงานนั้นมีราคาถูกและเข้าถึง
ได้แบบแทบจะไร้ขีดจำกัดเลยทีเดียว

บูลินและเพื่อนร่วมงานของเธอนั้นปฏิบัติงานอยู่ที่แลปปฏิบัติการที่ศูนย์วิจัยการเคลื่อนย้ายมวลสาร
ระหว่างมิติ ซึ่งตั้งอยู่อาคารที่ 5 บนถนน คอแลนด์สตรีท ซึ่งที่แห่งนี้ประสบอุบัติเหตุทางอุตสาหกรรม
ครั้งใหญ่นานมาแล้ว ซึ่งนั่นนำไปสู่การแยกระหว่างมิติที่อยู่ใกล้เคียงกันและนั่นทำให้
บูลินและสมาชิกคนอื่น ๆ ในทีมของเธอ เดินทางเข้ามายังโลกของออเรลิกา
โดยที่เธอกับพรรคพวกของเธอนั้นไม่มีทางที่จะกลับบ้านได้

เนื่องจากเธอนั้นขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอะตอมในช่องว่างสเปซย่อยของกาลเวลา บูลิน
และเพื่อนร่วมชะตากรรมของเธอนั้นจึงได้ตัดสินใจสร้างชีวิตใหม่ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยการตั้ง
ร้านค้าอยู่ในเมืองเสรี ที่ที่เครื่องใช้ที่แปลกประหลาดของพวกเขานั้น
ทำให้ชาวเมืองนั้นมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น และใช้งานสิ่งต่าง ๆ ได้ซับซ้อนน้อยลง
ซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่ตื่นตาตื่นใจพอ ๆ กับเวทมนตร์

Story Background

เทียเป็นที่รู้จักจากบรรดาผู้มีเกียรติมากมายในหมู่ชาวนครทาลินว่า “ผู้ปกครองของทาลิน”, “ผู้ปฏิรูปผู้ยิ่งใหญ่แห่งทาลิน” และแม้แต่ “แสงแห่งทาลิน” ตำแหน่งดังกล่าวจะต้องเป็นตำแหน่งโดยสายเลือดที่น่าประทับใจยิ่ง เนื่องจากว่าทาลินเป็นหนึ่งในอาณาจักรมนุษย์แห่งออเรลิกาที่มีความโดดเด่นและมีความเป็นอนุรักษ์นิยมมากที่สุด ทาลินจึงเป็นสังคมที่มีการปกครองโดยมีผู้ปกครองที่เข้มแข็ง ปกครองโดยประเพณีที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งที่ยังคงดำเนินต่อไปในโลก ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปใหญ่อย่างออเรลิกา ในโลกที่โดยทั่วไปผู้ชายเป็นใหญ่ ผู้หญิงในสังคมทาลินครอบครองที่กลุ่มอำนาจหลักปกครองดูแลทั้งหมด – ตำแหน่งทางเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม และการทหารในสังคมทาลินล้วนถูกควบคุมโดยผู้หญิง ธรรมเนียมของชาวทาลินเหล่านี้ยังเสริมด้วยขนบธรรมเนียมที่ไม่ธรรมดาอื่นๆ อีกหลายประการด้วย เช่น ข้อกำหนดที่ไม่ได้ระบุเป็นลายลักษณ์อักษรที่ให้ผู้ชายอยู่ในบ้านของเจ้าสาวเมื่อแต่งงาน และฝ่ายหญิงจะคงอยู่ในเรือนของพ่อแม่ตนตลอดไป

คนนอกอาจมองว่าทาลินไม่ค่อยต้อนรับขับสู้สักเท่าใดนัก ทั้งนี้เป็นเงื่อนไขในการปกครองแบบกลุ่มลัทธิชาวต่างชาติและลัทธิดั้งเดิมนิยมล้นเกิน ซึ่งนี่เป็นการเลือกสละความเป็นอยู่ที่ดีทางเศรษฐกิจของผู้คนเพื่อรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่โดดเด่น ปกครองภายใต้อุ้งมืออันสุดสยองของสภาที่มีแต่หญิงชรา อย่างไรก็ตาม การให้ความสำคัญกับปัญหาภายในของทาลินนั้นเป็นผลมาจากการพิจารณาด้านการทหารที่พอๆ กับขนบธรรมเนียมประเพณี ผู้ปกครองของทาลินกังวลอย่าง
มากกับการจำกัดไม่ให้ประชาชนเห็นสังคมของต่างนคร ทั้งการครองอำนาจ และโครงสร้างทางสังคมที่แตกต่างกัน เพื่อรักษาความเป็นเนื้อเดียวกันทางสังคมและการเชื่อฟังให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ พลังที่อยู่ในตัวชาวทาลินนั้นยังให้ความสำคัญกับศิลปะการต่อสู้และสมรรถภาพทางกายเป็นอย่างมาก รวมถึงเป็นการบังคับเพื่อรับใช้ในฐานผู้พิทักษ์แห่งทาลิน ซึ่งทั้งหมดนี้มีส่วนทำให้เกิดโครงสร้างแบบลำดับชั้นที่จัดระเบียบตามบ้านหรือตระกูลทาลินที่ยิ่งใหญ่หลายแห่ง

ซึ่งบรรพบุรุษของเทียนั้นเองสามารถสืบทอดได้ ซึ่งเมื่อสืบย้อนไปถึงแอนนา อนิมาลายาผู้ก่อตั้งดั้งเดิมของทาลิน เธอนั้นยังคงอยู่ในฐานะที่ใกล้กับศูนย์กลางของอำนาจในสังคมชาวทาลิน ทั้งนี้อันเนื่องมาจากความสัมพันธ์ของเธอโดยการแต่งงานกันกับผู้ปกครองคนก่อนของมาลินก่อนที่เธอจะขึ้นครองตำแหน่ง โศกนาฏกรรมเกิดขึ้นกับเทียและน้องสาวของเธอตั้งแต่อายุยังน้อยด้วยการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของพ่อแม่ พี่สาวน้องสาวทั้งสองได้เลี้ยงดูมาในครอบครัวของราชินี อดีตราชินีจำพรสวรรค์ของเทียได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นทายาทที่ได้รับเลือกจากราชสำนัก ทันใดนั้น เทีย ก็ได้เผชิญหน้ากับปัญหาที่ถาโถมเข้ามารุมเร้าในฐานะผู้ปกครองของอาณาจักรใหม่ของตน ความวุ่นวายที่ก่อตัวขึ้นภายในทั้งจากคนในและคนนอก การยกพลเข้าประชิดกับชายแดนทาลินโดยจักรวรรดิเฮอชิงเบิร์ก การแบ่งชั้นโครงสร้างทางสังคมของชาวทาลินที่ส่งผลให้สร้างความไม่พอใจให้กับชนชั้นล่าง และการขาดแคลนอย่างต่อเนื่องของเสบียงอาหารทั้งนี้เนื่องจากทาลินไม่ได้ติดต่อค้าขายกับประเทศมหาอำนาจภายนอก – ซึ่งนี่ยังไม่ได้กล่าวถึงภัยคุกคามที่เผชิญในปัจจุบันคือการบังคับให้สละราชสมบัติ ซึ่งเทียเองก็พยายามแจ้งปัญหาเหล่านี้ให้กับทางสภาระดับสูงทราบแล้ว

ซึ่งแทนที่เธอจะหลบซ่อนเพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับตัวเอง เทียเลือกที่จะเริ่มทำการปฏิรูปประเทศอย่างต่อเนื่องด้วยการยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวทาลินกับชาวทาลินจากราชวงค์และอิโมเจน องครักษ์คนสนิทผู้เป็น “ปรมาจารย์ดาบจันทรา” ให้เป็นผู้ร่วมปกครองอาณาจักรด้วย เมื่อเทียนั้นได้ตระหนักถึงอันตรายที่อาจเกิดกับชีวิตของตนจากการปฏิรูปนครแห่งนี้ เทียจึงได้จัดหลักสูตรการศึกษาสำหรับน้องสาวของเธอกับโรงเรียนเวทย์มนต์ในเมืองหลวงของจักรวรรดิเฮอชิงเบิร์ก ซึ่งเธอจะยังคงปลอดภัยหากการเมืองของนครทาลินเกิดเปลี่ยนไป นาธาเลียได้พิสูจน์การศึกษาอย่างรวดเร็วที่โรงเรียนเวทย์ ซึ่งชุดเกราะ โคลด์สตีลของเธอจากราชินีแอนนาและดาบน้ำค้างแข็งที่ดึงดูดผู้ชื่นชมมากมายสายตาในโถงแห่งผู้วิเศษ นาธาเลียได้หวนกลับคืนในเวลาต่อมา เคียงข้างพร้อมอิโมเจนนั้นจึงทำให้เทียได้รับการสนับสนุนในส่วนที่จำเป็นต่อการดำเนินการตามวิสัยทัศน์ของเธอสำหรับการยกระดับสังคมของชาวทาลิน

เทียได้ทำการได้ยกเลิกตำแหน่งที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์หลาย ๆ ตำแหน่งที่ถือครองโดยขุนนางด้วยการเติมเต็มตำแหน่งเหล่านั้นด้วยเหล่าผู้มีพรสวรรค์หน้าใหม่ เธอได้ทำการเปิดท่าเรือของทาลินเพื่อทำการค้าขายกับเมืองอื่น ๆ และได้ให้การสนับสนุนด้านการค้ากับรัฐอิสระที่อยู่ใกล้เคียง รวมถึงเมืองเพกาซัสของรัฐเพื่อให้มีการจ้างงานมากขึ้นและยกระดับมาตรฐานการครองชีพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และเธอยังได้ริเริ่มการทำปฏิรูปอย่างมีเสรีภาพและมีความยุติธรรมแก่การบริหารงานด้านพลเรือนของทาลินเพื่อขจัดอคติต่อผู้เข้าสมัครสอบชายและจัดการกับอิทธิพลด้านเส้นสายและการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่พลเรือนสามัญเพื่อกระตุ้นการพัฒนาของพลเมืองทาลินให้รุดหน้าไป ความทะเยอทะยานอันแรงกล้าของเทียที่จะได้เห็นนครทาลินเปลี่ยนไปเป็นสังคมสมัยใหม่และเจริญรุ่งเรือง ผลักดันให้มาตรฐานการครองชีพของผู้คนพัฒนาขึ้นอย่างมาก และได้รับรางวัลที่เธอให้ความสนใจจากเกียรติยศมากมาย: “แสงแห่งทาลิน”

Story Background

ภูมิหลังของเอฟเวอร่า ที่ไปที่มาของการเป็นโจรสลัด และการที่เธอได้รับ “ดาบแห่งคมหนาม” และ “กุหลาบไฟ” มาได้อย่างไรนั้น ยังคงเป็นปริศนาตั้งแต่วันที่เธอปรากฏตัวขึ้นจากที่ไหนก็ไม่มีใครทราบที่หัวเรือโจรสลัดสี่ลำเพื่อปราบกองทัพเรือจักรวรรดิที่ทรงพลัง การออกเดินทางในเหตุการณ์ “การต่อสู้ในอ่าวไฟ” ชื่อของเอฟเวอร่าได้กลายเป็นชื่อที่มีความหมายเหมือนกันกับ “กุหลาบแห่งราตรีสีดำ” ของเกาะโจรสลัดทั่วทั้งออเรลิกา โดยเอฟเวอร่าผู้ลึกลับได้ที่นั่งใน “สภาจตุรภาคี” ที่ควบคุมกิจการของเกาะโจรสลัดหลังจากนั้นไม่นาน และยังคงเป็นหนึ่งในผู้อยู่อาศัยที่น่ากลัวที่สุด หญิงสาวที่มีความงามที่ไม่ธรรมดาอย่างเอฟเวอร่านั้น ไม่เคยขาดชายหนุ่มที่ดาหน้าเข้ามาจีบ ไม่ว่าจะเป็นหนุ่มสุภาพ จริงใจหยาบคาย นับตั้งแต่จากกลุ่มโจรสลัดไปจนคนใหญ่คนโต หนึ่งในนั้นเคยลงทุนถึงขนาดสร้างรูปปั้นขนาดมหึมาตั้งไว้ในใจกลางเมืองหลักเพื่อเอาชนะใจเธอ ซึ่งผลก็คือ รูปปั้นนั่นถูกปืนคาบศิลาของเธอกระหน่ำยิงระเบิดเป็นชิ้น ๆ โดยที่เอฟเวอร่าลั่นวาจาว่า “ดินปืนหนึ่งถังยังมีค่ามากกว่าความรักของผู้ชายคนหนึ่ง จะเอาชนะใจฉันมีแค่หินก้อนเดียวฝันไปเถอะย่ะ” ซึ่งนับว่าการมีคู่ครองนั่นไม่จำเป็นสำหรับเธอสักเท่าไหร่ แต่ความเชื่อมั่นของเอฟเวอร่านั้นเป็นเพียงการยืนยันถึงชื่อเสียงของเธอในฐานะผู้หญิงที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมแต่ขาดแค่คนที่เหมาะสมเท่านั้นเอง…

Story Background

รัศมีแห่งอรุณ เป็นองค์กรที่เก่าแก่อย่างแท้จริง แม้แต่นักประวัติศาสตร์ก็ยังไม่แน่ใจว่ามันถูกก่อตั้งเมื่อใดหรือโดยใคร แต่มีข้อสงสัยเล็กน้อยเกี่ยวกับภารกิจของมัน นั่นคือการปกป้องผู้คนในออเรลิกาจากการบุกรุกของอสูรความมืด องค์กรนี้เป็นที่รู้จักกันดีและได้รับการเรียกใช้งานอยู่บ่อยครั้งตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมาเพื่อช่วยเหลืออาณาจักรต่าง ๆ ในการต่อสู้กับความมืด สมาชิกส่วนใหญ่ของ รัศมีแห่งอรุณ ทำงานอย่างลับๆ อยู่เบื้องหลังเพื่อทำงานที่จำเป็นได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม สมาชิกบางคนเลือกที่จะเปิดเผยตัวตนของพวกเขาต่อสาธารณะ โดยที่โดดเด่นที่สุดคือจอมเวทย์แห่งแสงศักดิ์สิทธิ์อย่าง โยลันดา

โยลันดานั้นเป็นหนึ่งในมหาจอมเวทย์ที่ทรงพลังที่สุดในออเรลิกา และอาจนับได้ว่าเป็นผู้ฝึกตนแห่ง “แสง” ที่ทรงพลังที่สุดของโรงเรียนแห่งเวทมนตร์ที่เธอได้สืบทอดมาจากครูฝึกของเธอและโรงเรียนแห่งนี้ก็เป็นสถานที่ที่ดีในการรับมือกับศาสตร์มืด

โยลันดาเกิดและเติบโตเป็นสมาชิกของกลุ่มแบนตัสเมื่อหลายศตวรรษก่อนในทวีปที่ต่างไปจากปัจจุบันไปอย่างสิ้นเชิง เธอเป็นที่รู้จักในฐานะเด็กที่ร่าเริงและขี้สงสัย มีพรสวรรค์ในด้านเวทมนตร์ แต่ไม่ต้องการจำกัดตัวเองให้อยู่กับเวทมนตร์คาถาที่ฝึกโดยพี่น้องพาลาดินของเธอ เนื่องจากเธอศึกษาเวทมนตร์อย่างหมกมุ่นอยู่กับตัวเธอเอง ธรรมชาติที่อยากรู้อยากเห็นของเธอเกี่ยวกับความลึกลับของเธอได้นำเธอไปสู่เส้นทางของจักรวรรดิเฮอชิงเบิร์ก ซึ่งเธอได้ลงทะเบียนเรียนในโรงเรียนเวทมนตร์แห่งจักรวรรดิ ทว่าแม้แต่อาจารย์ของพวกเขาก็ไม่สามารถปรนเปรอความอยากรู้ของเธอได้ และเธอก็เริ่มสำรวจอาร์ติแฟกต์อื่นๆ และผู้วิเศษที่มีชื่อเสียงทั่วแคว้นแดนออเรลิกาได้ ในที่สุดการเดินทางของเธอก็ได้พาเธอไปหาซิลเวีย แม่ของเอเวลินผู้เป็นศิษย์ของเธอ ซึ่งเหมือนกับโยลันดาที่มีความหลงใหลในการค้นคว้าเหมือนกัน ยกเว้นในกรณีของซิลเวีย ที่มุ่งต่อต้านอสูรความมืดโดยสิ้นเชิง ทั้งคู่ตามติดกันไปอย่างแยกกันไม่ออก

การเดินทางของโยลันดาและซิลเวียในที่สุดพวกเขาก็พาพวกเขาไปยังเมืองเล็กๆ ในเขตชานเมืองทาลินที่ซิลเวียสงสัยว่าถูกความมืดครอบงำ ทั้งคู่ถูกปลุกให้ตื่นจากการหลับไหลจากเหตุที่ไม่คาดคิด และทั้งสองพบว่าตนนั้นถูกห้อมล้อมไปด้วยชาวบ้านที่โกรธเกรี้ยวอย่างรุนแรงจนบิดเป็นเงาดำมืดจากตัวตนเดิมของตน

โยลันดาตระหนักว่าประตูสู่มิติอื่นอีกบานหนึ่งนั้นได้เปิดออกและได้สัมผัสกับบรรยากาศภายในลานโบสถ์ของหมู่บ้าน เธอสามารถสังเกตเห็นลำแสงสีดำของพลังงานพิษที่เล็ดลอดไปในอากาศ และแผ่อิทธิพลชั่วร้ายไปทั่วเนื้อหนังทุกส่วน ซึ่งนี่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาของผู้ใช้ที่ไม่ใช้เวทมนตร์ เสียงกรีดร้องอันน่าสะพรึงกลัวมาจากที่ไหนสักแห่งที่อยู่ลึกเข้าไปในโลกแห่งรอยแยกมิติ และกรงเล็บคู่หนึ่งและร่างปีศาจก็โผล่ออกมา เหล่าจอมเวทย์รุ่นเยาว์ต่างรู้ว่า ทักษะการต่อสู้ของพวกเขากำลังจะถูทดสอบขั้นสุดท้าย

โยลันดาใช้ความรู้ทั้งหมดของเธอเกี่ยวกับเวทมนตร์ลึกลับเพื่อทำร้ายสัตว์อสูร ซึ่งเธอนั้นได้ยักไหล่จากการโจมตีราวกับไร้ซึ่งอันตรายใด ๆ และยังสามารถฟื้นตัวจากฟ้าผ่าได้รวดเร็วเต็มที่ หรือสร้างเพลิงลุกโหมได้ในไม่กี่วินาทีเพื่อฟื้นฟูได้อย่างเต็มกำลัง พลังงานมืดจากภายในประตูสู่มิติดูเหมือนจะให้พลังแก่ปีศาจอีกครั้ง และซิลเวียแทบจะไม่สามารถสร้างเวทมนตร์แห่งแสงเพื่อปกป้องสิ่งมีชีวิตได้เลย แต่เวลาก็หมดลง ในตอนนั้นเองที่เวทมนตร์แห่งแสงระเบิดอย่างท่วมท้นปกคลุมเมืองและเผาสัตว์อสูรราบคาบเป็นจุล นักเวทย์อีกคนที่ว่าคือ? แต่ใครเล่าจะสามารถใช้เวทมนตร์เช่นนี้ได้? ผู้มาใหม่ขับไล่ความมืดรอบๆ หมู่บ้านและนำรอยแยกมิติกลับคืนมา ด้วยเหตุนี้ โยลันดาจึงถูกแต่งตั้งให้เข้าสู่รัศมีแห่งรุ่งอรุณโดยมหาจอมเวทย์-ที่ปรึกษา คนใหม่ของเธอและอุทิศให้กับงานอันยิ่งใหญ่เช่นเดียวกันกับการกอบกู้โลก

Story Background

มีข้อสงสัยเล็กน้อยว่าราชินีแห่งทาลินองค์ใหม่ที่ไม่สามารถดำเนินการปฏิรูปได้น่าประทับใจสักเท่าใดนักหากไม่ได้รับการสนับสนุนและช่วยเหลือจากอิโมเจน คนสนิทของเธอผู้เป็นปรมาจารย์ดาบจันทราโบราณรวมถึงเป็นลูกหลานของผู้ก่อตั้งนครทาลิน และยังเป็นบุคคลที่เป็นเบื้องหลังขุมอำนาจและพลังของเทีย ความทุ่มเทของอิโมเจนต่อราชินีของเธอนั้นไม่มีลังเลเลย ในฐานะสาวกของดาบจันทรา อิโมเจนตระหนักดีถึงเรื่องราวของคำสาบานที่ปรมาจารย์ดาบจันทราคนแรกกับราชินี แอนนา อนิมาลายา สาบานตนเป็นอย่างดีเพื่อสร้างสังคมที่ปกครองโดยผู้ปกครองที่โดดเด่นด้วยการเสริมอำนาจของผู้หญิง เรื่องราวเล่าขานสืบมาว่า การก่อตั้งของเมืองทาลินในฐานะผู้ปกครองระดับสูงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของออเรลิกานั้นถูกเขียนขึ้นในช่วงเวลาของการก่อตั้ง

อิโมเจนนั้นแตกต่างจากราชินีของตนอย่างมากไม่ว่าทั้งในด้านอารมณ์ ความหนาวเย็นของการฝึกฝนอันโหดร้ายนานหลายปีในฐานะของปรมาจารย์ดาบจันทราทำให้นิสัยชอบยิ้มของเธอลดน้อยลง ตรงกันข้ามกับอารมณ์ฉุนเฉียวของเทียที่นับวันดูจะคุกรุ่นมากขึ้นเรื่อย ๆ ท้ายที่สุด ตำนานพื้นบ้านของนครทาลินนั้นมักมีความเชื่อมโยงเป็นพิเศษระหว่างเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ที่เป็นสตรีรูปงามอย่างแท้จริงกับเหล่าสตรีที่ถูกเรียกเข้ามาในการใช้ชีวิตที่เข้มงวดของปรมาจารย์ดาบจันทรา ซึ่งเป็นอาชีพที่กล่าวกันว่าไม่สามารถไปถึงได้สำหรับบุรุษทุกคนที่ขาดซึ่งพรจากเทพธิดาจันทรา ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามีเวทมนตร์แปลก ๆ เกิดขึ้นเนื่องจากคำสั่งลึกลับของนินจาหญิงว่าสามารถทำลายล้างจัดการศัตรูที่ทรงพลังด้วยใบมีดรูปพระจันทร์ การส่งเสริมอำนาจของสตรีนั้นเป็นที่มาแห่งความภาคภูมิใจพอ ๆ กับความรับผิดชอบในภาระหน้าที่ของปรมาจารย์ดาบจันทรารุ่นดั้งเดิม ที่รับผิดชอบในความปลอดภัยของทาลินส่วนใหญ่มาตลอดหลายศตวรรษ

ซึ่งเขาก็คืออิโมเจนนั้นเอง บางทีอาจจะเป็นมากกว่าผู้ช่วยและที่ปรึกษาที่ใกล้ชิดที่สุดของราชินีคนใหม่ที่ทำงานเบื้องหลังเพื่อ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเพื่อนของเธอยังคงยึดอำนาจไว้เหมือนเดิมตลอดการปฏิรูปครั้งยิ่งใหญ่ของสังคมทาลิน นักอนุรักษนิยมที่มีหัวใจและเป็นตัวแทนขององค์กรที่มีแนวคิดดั้งเดิมสูง อิโมเจนนั้นไม่สามารถปิดบังความรู้สึกไม่สบายใจที่เพิ่มขึ้นของเธอด้วยการปฏิรูปของเทียหรือภารกิจการก่อตั้งองค์กรของเธอเพื่อประกันความเป็นใหญ่ของนครทาลิน อิโมเจนแตกต่างจากพี่น้องของเธอบางคน เธอตระหนักดีว่าบางแง่มุมของสังคม ว่าชาวทาลินจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง และสนับสนุนและเคารพในความปรารถนาของราชินีของเธอที่จะทำตามที่เธอประสงค์ไว้ น่าเสียดายที่ความสงสัยของอิโมเจนยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อสังคมชาวทาลินไม่มีใครรู้จักผู้อาวุโสของตนและเมืองโดยรอบ

Story Background

ป้อมปราการศักดิ์สิทธิ์นั้นมีเป้าหมายที่จะสานต่อ “เจตจำนงที่ยังคงมีชีวิต” ของเทพธิดาแห่งแสงในออเรลิก้าและมอบพรแห่งเทพธิดาให้กับมนุษยชาติ มีตำนานเล่าขานกันว่า เทพธิดาไม่ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในช่วงที่มีสงครามบนสวรรค์ แต่นางยังคงเป็นเทพที่คอยชี้แนะและปกปักษ์รักษาผู้ที่ศรัทธาในตัวนาง

แม้ว่าเป้าหมายของป้อมปราการศักดิ์สิทธิ์และรัศมีแห่งรุ่งอรุณจะมีที่มาจากรากเหง้าเดียวกัน แต่ทั้งสองภาคีกลับเดินคนละเส้นทาง เนื่องจากมีสิ่งที่รัศมีแห่งรุ่งอรุณมองว่า “แหกคอก” จากการรับเอาพลังที่ไม่บริสุทธิ์มาใช้นอกเหนือจากพลังแห่งแสง ในยุคแรกนั้น เวน อาร์คบิชอปแห่งป้อมปราการศักดิ์สิทธิ์ได้รับเอาสิ่งที่เรียกว่า “คำสอนทางเลือก” มาใช้และเชื่อว่าความเชื่อที่นอกเหนือจากเทพธิดาจะต้องถูกกำจัด และโอกาสที่เวนจะได้ชำระล้างศาสนาก็มาถึง เมื่อทั้งสองภาคีตัดสินใจแยกทางเดิน

nเมื่อป้อมปราการศักดิ์สิทธิ์ของเวนมีรากเหง้ามาจากเทพธิดาแห่งแสง เขาก็กำหนดให้นักบวชของเขาเลิกศรัทธาในความเชื่ออื่นๆ และหากไม่เป็นเช่นนั้น ก็จะต้องได้รับการเพิ่มพลังศรัทธาด้วยพิธีกรรมลี้ลับ ดังนั้นป้อมปราการศักดิ์สิทธิ์จึงจัดพิธีรวมตัวสาวกอันยิ่งใหญ่เพื่อเพิ่มพลังธาตุแสงสว่างของออเรลิก้า อย่างไรก็ตาม ในขณะที่พิธีกรรมใหญ่โตและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ความมืดก็คืบคลานเข้ามาเช่นกัน โดยเฉพาะในหัวใจของมนุษย์ แน่นอนว่ามีเพียงสมาชิกระดับสูงของภาคีเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้และพยายามปิดบังความจริง

เมื่อเวลาได้ล่วงเลยไป ป้อมปราการศักดิ์สิทธิ์ที่เคยยิ่งใหญ่ได้รับการดูแลโดยอาร์คบิชอปเรเชลผู้ใจดีและทุ่มเท การวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ทำให้นางพบว่าแท้ที่จริงแล้วภาคีของนางเลือกทางเดินผิดพลาดมาตลอดและนางก็เป็นเพียงหุ่นเชิดของผู้อาวุโสที่คอยเยาะเย้ยถากถาง อย่างไรก็ตาม เรเชลตั้งใจที่จะยุติการโฆษณาชวนเชื่อและกลไกการปลูกฝังข้อมูลแบบผิดๆ เพื่อปกป้องดินแดนในนามของแสงสว่าง นอกจากนี้นางยังได้ตระหนักถึงผลร้ายของพิธีกรรมเพิ่มพลังแห่งแสงของภาคี และได้ทำการสอบสวนรวมถึงยุติพิธีกรรมดังกล่าว นางเชื่อว่าพลังแห่งเทพธิดายังคอยอยู่เคียงข้างนาง

nอาร์คบิชอปเรเชลเป็นเพียงหุ่นเชิดของเอดิซิส อดีตผู้พิทักษ์หัวโบราณและ ยูไรอัน นักจักรวรรดินิยม ทั้งคู่ต่างใช้ความนิยมของเรเชลเพื่อประโยชน์ส่วนตน แต่ในทางกลับกัน เรเชลนั้นฉลาดกว่าที่พวกเขาสองคนคิด และนางมีความกล้าหาญและปัญญาที่จะเชื่อมั่นในแสงและความถูกต้องอย่างเงียบๆ โดยเลือกที่จะไม่เสียเวลาทะเลาะกันในเรื่องยิบย่อย แท้จริงแล้วนางมีจุดประสงค์ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น คือการปฏิรูปภาคีทั้งหมดจากภายใน

Story Background

ก่อนเนโรขึ้นครองบัลลังก์เฮอชิงเบิร์ก ไม่เคยมีสมาชิกราชวงศ์คนไหนเหลือบแลลูกสามัญชนชั้นต่ำคนนี้มาก่อน ในสายตาของทุกคน เขาเป็นแค่เบี้ยตัวจิ๋วบนหมากกระดานชิงบัลลังก์ และสำหรับศึกชิงบัลลังก์ครั้งนี้ มีตัวเต็งอยู่เพียงสองคนในบรรดาโอรส 11 องค์ของราชาไรน์ฮาร์ดต์ นั่นคือ เจ้าชายองค์ที่เจ็ดซึ่งมีผู้ตรวจการระดับสูงคอยหนุนหลัง และเจ้าชายองค์โตที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับป้อมปราการศักดิ์สิทธิ์

เนโรเข้ามาอยู่ในราชสำนักได้ แม้เป็นเพียงบุตรของนางสนมเพราะเขามีสถานะพิเศษเป็น “เด็กที่ถือดำกำเนิดในคืนเดือนดับ” แต่ถึงอย่างนั้น ก็มีแค่ไรน์ฮาร์ดต์ผู้งมงายเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยึดถือตามคำพูดของโหราจารย์ว่า “เด็กที่ถือกำเนิดในคืนเดือนดับมีชะตาว่าจะครอบครองพลังทำลายล้างอันน่าเกรงขาม” บางทีคำทำนายนี้เองที่ทำให้ชะตาชีวิตของเนโรต้องพลิกผัน

เขาชินชากับการอยู่ตามลำพังท่ามกลางสายตาที่เดียดฉันท์จากผู้มีอำนาจ โดยไม่มีผู้ใดใส่ใจว่าเขาจะอยู่หรือตาย แม่เขาที่เป็นหญิงรับใช้ธรรมดาพยายามปกป้องเขาจากการแย่งชิงอำนาจด้วยการเลือกรับใช้เจ้าหญิงเมซี มารดาของเจ้าชายองค์ที่เจ็ดผู้ได้รับความโปรดปราน นางเป็นสตรีที่ถือตนและทรงอำนาจที่แสดงท่าทีชิงชังเนโรและแม่ของเขา แต่กลับปั้นหน้าว่ายอมรับสองแม่ลูกเพื่อให้ไรน์ฮาร์ดต์เห็นนางเป็นคนดีมีเมตตา เนโรจำได้ว่าแม่ของเขาต้องทนทุกข์ทรมานและทนคำดูถูกในตำหนักของเจ้าหญิงเมซีเพื่อให้เขาสามารถเข้าศึกษาเล่าเรียนวิชาและเวทมนตร์ที่สถาบันพร้อมกับเจ้าชายองค์ที่เจ็ดได้ พอตกกลางคืน นางจะสั่งให้เขาฝึกฝนคาถา การต่อสู้ และทักษะอื่น ๆ อย่างเข้มงวดเพื่อให้เขาแข็งแกร่งขึ้น

ท้ายที่สุด เมื่อเนโรปลุกพลังน้ำแข็งตามสายเลือดระหว่างสู้ศึกที่หฤโหดได้สำเร็จ เขาก็ตระหนักว่าคำทำนายของโหราจารย์นั้นเป็นความจริงมาโดยตลอด เนโรที่นิ่งเฉยมาตลอดหลายปีสบโอกาสโต้กลับแล้วในที่สุด ในขณะที่ไรน์ฮาร์ดต์กำลังนอนซมอยู่นี้ ผู้คนที่เคยเกลียดชังเขาในอดีตจะต้องชดใช้ในสิ่งที่ทำลงไปเสียที…

Story Background

ไกโรนูลเคยเป็นพาราดินผู้ยิ่งใหญ่แห่งวิหารภาคีศักดิ์สิทธิ์ นางได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ครอบครองฉมวกศักดิ์สิทธิ์ในพิธีบัพติศ พร้อมรับตราประทับของเทพแห่งไฟ ผู้ตรวจการณ์แห่งภาคี

ไกโรนูลคุ้นชินกับความป่าเถื่อนในสนามรบเป็นอย่างดี นางได้รับความช่วยเหลือจากพาราดินวิหารจากการต่อสู้ครั้งแรกของนางขณะที่นางอายุ 10 ขวบ หลังจากนั้นนางได้เข้าร่วมกลุ่มในภาคี มันคือยุคแห่งความมืดมืดที่ดูเหมือนพลังแห่งกลียุคจะเข้าครอบงำออเรลิก้า และนั่นเป็นตอนที่ไกโรนูลสาบานว่าจะปกป้องคุ้มครองดินแดนของนางจากความมืดด้วยความสามารถทั้งหมดที่ตัวเองมี

ไกโรนูลต่อสู้ด้วยความกล้าหาญอย่างไม่สนชีวิตของตัวเอง แต่น่าเศร้าที่นางต้องสูญเสียร่างกายและความแข็งแกร่งของตัวเองในการต่อสู้ที่เอาชีวิตของนาง แต่ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นเพราะนางรอดชีวิต ฉมวกศักดิ์สิทธิ์คือช่องทางในการเอาชีวิตรอด สิ่งที่ไกโรนูลเจอในอีกด้านหนึ่งไม่ใช่ความตาย แต่เป็นการหลับใหลในความว่างเปล่า

ไกโรนูลรู้สึกว่าตัวเองฟื้นคืนชีพอีกครั้งในหลายพันปีต่อมา นางรู้ทันทีว่าทำไมนางถึงกลับมามีลมหายใจ นางมาเพื่อปกป้องออเรลิก้าอีกครั้ง

Story Background

ครั้งหนึ่งนางเคยเป็นแม่ทัพหญิงที่มีชื่อเสียงที่สุดในจักรวรรดิ ไม่มีขุนนางหรือเจ้าพนักงานคนใดสามารถเทียบเคียงนางได้ นางกลายเป็นฮีโร่ที่ทุกคนต่างยกย่องในความพยายามของนางในการปราบผู้บุกรุกที่ชายแดน แต่เหมือนโชคชะตาจะเล่นตลก นางคงไม่นึกว่าความซื่อตรงและการไม่หือไม่อือของตนเองจะทำให้นางกลายเป็นหนามตำตาขุนนางจำนวนนึง

เพราะไม่อยากให้ธุรกิจลักลอบขนส่งสินค้าของตระกูลนางถูกเปิดโปง ลิเดียได้พยายามติดสินบนนายพลหญิงหน้าเหล็กนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ถูกปฏิเสธอยู่ร่ำไป อยู่มาคืนหนึ่งนางต้องต่อสู้เอาตัวรอดจากผู้บุกรุกจนได้รอยฟกช้ำและแผลเป็น นางต้องปลอมตัวอยู่รวมกับกลุ่มทาสเพื่อหนีคนที่ไล่ล่านางให้พ้น และสุดท้ายนางก็ถูกขายให้กับอารีน่ากลาดิเอเตอร์ของจักรวรรดิ

นางรู้ว่าแม้นางจะหลบหนีไปได้ แต่ถึงยังไงก็ไม่มีที่ยืนสำหรับนางในจักรวรรดิอยู่ดี ด้วยเหตุนี้ นางจึงสวมหมวกเหล็กและกลายเป็นนักสู้ดาวรุ่งพุ่งแรงในอารีน่าภายใต้ชื่อดาร์ซี นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จักรวรรดิได้สูญเสียนายพลหญิงผู้องอาจ และได้นักสู้หญิงผู้กล้าหาญและโหดเหี้ยมในอารีน่ามาแทน

Story Background

ในฐานะมนุษย์คนสุดท้ายที่เหลืออยู่จากอดีตเมืองทาลินฟอลล์ ยูไรอันเป็นหนึ่งในหลาย ๆ องค์ประกอบ หลังจากรอดชีวิต หรือเขานั้นมีสิทธิ์ที่จะเป็นสาเหตุของการล่มสลายของทาลินฟอลล์ ยูไรอันใช้ชีวิตอย่างระแวดระวังตัวทุกฝีก้าว

ชีวิตของยูไรอัน เริ่มต้นขึ้นเมื่อเขาถูกสร้างขึ้นในห้องทดลองโดย เอดิคริส และกลอเรีย เอดิคริส และ กลอเรีย ต่างก็อุทิศตนเพื่อถ่ายทอดพลังของไททัน ยูไรอัน เป็นสิ่งมีชีวิตกลุ่มแรกที่สร้างขึ้นจากพลังงานแสงล้วนๆ นอกเหนือจากไททัน

Story Background

ลิเดียเป็นลูกสาวของอดีตผู้ตรวจการระดับสูงของจักรวรรดิ เธอสืบทอดตำแหน่งบิดาของเธอตั้งแต่อายุยังน้อย และได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการฝ่ายการเงินของบ้านที่มั่งคั่งที่สุดแห่งหนึ่งในจักรวรรดิในขณะที่ยังเป็นพวกหนุ่มสาวตอนปลาย ความมั่งคั่งที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งของลิเดียทำให้เธอมีโอกาสเหลือเฟือที่จะมอบให้กับรองทุกแห่งที่เกี่ยวข้องกับความโลภเท่าที่จะจินตนาการได้ และลิเดียยังคงสร้างความมั่งคั่งให้ครอบครัวต่อไปโดยมีส่วนร่วมในการค้าขายที่คลุมเครือหรือผิดศีลธรรมซึ่งไม่มีใครแตะต้องโดยบ้านหลังอื่น ซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มการค้าขนาดใหญ่ของเธอ ในทาสออร์ก ซึ่งทำให้ครอบครัวของเธออาจร่ำรวยที่สุดใน ออเรลิกา ได้อย่างรวดเร็ว แน่นอนว่ามิตรภาพที่ดีย่อมมาพร้อมกับความมั่งคั่งมหาศาล ศัตรูไม่กี่คนที่กล้าต่อต้านลิเดียจะถูกปิดปากหากไม่ใช่เพราะคำมั่นสัญญาแห่งความมั่งคั่งมหาศาล จากนั้นตามคำสั่งของหนึ่งในผู้ลอบสังหารหรือผู้ใต้บังคับบัญชาที่ไม่ซื่อสัตย์ที่เต็มใจรับข้อเสนอของเธอ

ครอบครัวของลิเดียมาเพื่อแสดงถึงความเข้มข้นของจักรวรรดิ ความมั่งคั่งอยู่ในมือของตระกูลขุนนางจำนวนไม่มาก แนวโน้มที่ดูเหมือนว่าจะดำเนินต่อไปเมื่อลิเดียเปลี่ยนทักษะการจัดการเงินที่มีความสามารถและสายตาในการบริหารไปสู่การได้มาซึ่งเผ่าพันธุ์ใหม่และดินแดนใหม่สำหรับจักรวรรดิเพื่อขยาย “ธุรกิจ” ของครอบครัวของเธอไปจนถึงสุดขอบออเรลิกา

Story Background

การ์เน็ตใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตวัยเด็กไปกับการถูกขังอยู่ในบ้านของพ่อแม่บุญธรรมของนาง เนื่องจากอาการป่วยที่เกิดจากการต้องคำสาป ในแต่ละวันนางไม่มีกิจกรรมให้ทำมากนักนอกจากการอ่านคัมภีร์โหราศาสตร์และศึกษาเครื่องมือที่ตั้งอยู่เป็นกองเต็มห้องหนังสือของพ่อแม่นาง ซึ่งเป็นนักโหราศาสตร์ในราชสำนัก ไม่นานหลังจากนั้นพ่อแม่บุญธรรมของการ์เน็ตก็เริ่มหงุดหงิดใจกับความต้องการของหญิงสาวที่มีร่างกายอ่อนแอคนนี้ พวกเขาเริ่มทำตัวเย็นชา ในที่สุดแม่ก็ให้กำเนิดลูกชายซึ่งเป็น “น้องชาย” ของการ์เน็ต จากนั้นไม่นานเขาก็กลายเป็นศูนย์กลางความสนใจของคนทั้งบ้าน ในระหว่างการปรึกษาหารือทางโหราศาสตร์ที่จัดขึ้นเป็นประจำ มูเรียล ภรรยาของดยุคในท้องถิ่นได้สังเกตเห็นการ์เน็ตผู้ซึ่งดูไม่สำคัญในห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ และรู้สึกถูกใจกับนิสัยที่ดูสงบและเป็นผู้ใหญ่ของนางในทันที นางค่อนข้างประหลาดใจที่ไม่มีใครแนะนำการ์เน็ต เด็กสาวที่ทำให้มูเรียลนึกถึงลูกสาวที่นางเสียไปเมื่อหลายปีก่อน มูเรียลอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปหาการ์เน็ตและยื่นมือให้เธออย่างอบอุ่น พร้อมถามว่า “เธออยากมากับฉันไหม? ฉันจะพาเธอไปดูโลกที่กว้างใหญ่กว่ากำแพงทั้งสี่นี้” การ์เน็ตไม่ใช่คนโง่ และนางรู้ว่านางมีตัวเลือกไม่มากนัก นางตอบตกลงและออกเดินทางไปกับมูเรียลในวันเดียวกันนั้นโดยทันที แต่นางมีข้อแม้อย่างนึงว่านางต้องได้รับอนุญาตให้นำเครื่องมือโหราศาสตร์ของตัวเองติดตัวไปด้วย มูเรียลรู้ทันทีว่าการ์เน็ตมีความสามารถมากพอที่จะทำอะไรที่ไม่ธรรมดาหากนางไม่อยู่ในร่างที่อ่อนแอแบบนี้ ด้วยเหตุนี้ มูเรียลถึงขนาดลงทุนสร้างกลไกอัศจรรย์จากน้ำมือของฮาร์เบก ลาวาเพลิง คนแคระหัวหน้าช่างตีเหล็กผู้โด่งดัง และเหมือนโชคชะตาเข้าข้าง กลไกนี้ได้เปลี่ยนร่างกายของการ์เน็ตให้กลายเป็นครึ่งทองแดงครึ่งเวทมนตร์ ซึ่งช่วยปกป้องนางจากอันตรายจากโลกภายนอก พ่อแม่บุญธรรมของการ์เน็ตไม่เคยรู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงของอาการป่วยของนาง อันที่จริงแล้ว สาเหตุที่ร่างกายของนางอ่อนแอเป็นเพราะเวทมนตร์มหาศาลภายในร่างกายของการ์เน็ตนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ร่างกายมนุษย์จะรับไหว พลังเวทมนตร์ในตัวของนางนี้ยังเป็นสิ่งที่อธิบายความถนัดในด้านโหราศาสตร์ของนางอีกด้วย มูเรียลประทับใจกับ “โครงการ” ใหม่ของตัวเอง และได้ใช้ทรัพยากรที่นางมีเป็นจำนวนมากไปกับการฝึกของนักเวทย์ชั้นยอด พร้อมใช้ประโยชน์จากเกราะป้องกันที่ฮาร์เบกสร้างขึ้นมา นับตั้งแต่นั้นมาความสัมพันธ์ระหว่างมูเรียลกับการ์เน็ตก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป การ์เน็ตพอใจกับการเป็นนักฆ่าประจำตัวของมูเรียลเมื่อมีความขัดแย้งระหว่างขุนนางตราบใดที่นางยังสามารถใช้เวลาว่างที่เหลือของตัวเองไปกับการศึกษาดวงดาว

Story Background

วาเลเรียเองที่ทำให้พ่อของฉันเข้าสู่ความมืด ฉันหวงแหนและคอยให้ความหวังเสมอว่าบางสิ่งจะพาเขากลับมา… แต่ตอนนี้ต้องยอมรับถึงความไร้ประโยชน์ของมันให้ได้

ฉันไม่ได้เป็นเพียงลูกสาวของนิคลอสเท่านั้น แต่ยังเป็นทายาทของนักบวชแห่งแสง และเช่นเดียวกับแม่ของฉัน ที่ได้รับความไว้วางใจจากภาระผูกพันอันศักดิ์สิทธิ์ในการปกป้องแผ่นดินของเรา การตามล่าล้างแค้นของพ่อฉันไม่มีวันสำเร็จจนกว่าออเรลิกาจะพังทลาย ฉันยังคงรักพ่อแม้ในขณะเดียวเองก็ประณามการกระทำของเขา ฉันไม่ต้องการที่จะต่อสู้กับพ่อของตัวเอง แต่นี่คือถ้วยที่ฉันได้รับมอบมา และการต่อสู้เองก็หลีกเลี่ยงไม่ได้

โยลันดาเคยบอกฉันว่าการรวบรวมความแข็งแกร่งเพื่อต่อสู้กับอสูรความมืดนั้นย่อมดีกว่าการดึงวิญญาณกลับมาจากมือของเขาได้ แต่ตอนนี้ฉันพบว่าตัวเองไม่สามารถทำได้ด้วยเช่นกัน ฉันสัมผัสได้ว่าความมืดเข้าครอบงำฉันอย่างใด ความเชื่อมโยงที่ฉันมีกับแสงศักดิ์สิทธิ์ผ่านแม่ของฉันยังคงอยู่ภายใน แต่เมื่อฉันพยายามสื่อสารกับมัน ฉันพบว่ามันหลุดพ้นจากเงื้อมมือของฉันไปเสียแล้ว เกิดอะไรขึ้นกับฉัน

โยลันดาขอให้ฉันค้นหามรดกตกทอดที่แม่ของฉันทิ้งไว้ ไม่ใช่แค่สัญลักษณ์แห่งความรักจาก แต่เป็นเครื่องมือที่สามารถช่วยฉันในการเชื่อมต่อกับแสงสว่างได้ มงกุฎของลาเซอนั้นบอกฉันว่าฉันควรจะเป็นใคร ตราบนธงเกาะราชาศักดิ์สิทธิ์นั้นได้บอกฉันว่าฉันควรวางใจใคร ดาบยาวอันยิ่งใหญ่ของไคซัสนั้นหมายถึงความกล้าหาญ และชุดเกราะสีทองของราชาคนแคระนั้นมีความหมายถึงการปกป้องผู้อื่น

ฉันไม่สามารถปลุกแสงสว่างภายในตัวให้ตื่นขึ้นได้หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากสหายผู้ภักดี ผู้มอบปีกไว้ที่แผ่นหลังของฉัน ถึงเวลาที่จะยกดาบของเราขึ้นเพื่อต่อสู้กับอสูรความมืด! บุกไปข้างหน้า!

Story Background

รัฐบุรุษผู้มีวิสัยทัศน์ซึ่งคนรุ่นหลังรู้จักกันในนาม “กษัตริย์ศักดิ์สิทธิ์คาร์ลอส” นั้นเป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักรลาเซอ แต่การสิ้นพระชนม์ก่อนวัยอันควรของเขายังคงทำให้ประชาชนของเขาไม่พร้อมสำหรับการถูกรุกรานของเมืองที่มีขุมอำนาจเมืองอื่น ๆ ในที่สุดลาเซอก็พังทลายลงตามกาลเวลาของอาณาจักรเฮอชิงเบิร์กที่กำลังได้ขยายไปสู่อาณาจักรใกล้เคียงอย่างรวดเร็วด้วยอานุภาพของตนที่มีท่วมท้น อดีตมหาอำนาจของลาเซอได้ถูกลดขนาดลงเหลือเพียงรัฐประเทศราชของจักรวรรดิ และนิคลอสทายาทสายตรงแห่งมหาราชาศักดิสิทธ์นั้นได้ถูกบังคับให้ประณามราชสำนักตั้งแต่อายุยังน้อยเพื่อรับประกันความปลอดภัยของประชาชน

โดยนิคลอสนั้นพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นมือขวาที่มีความสามารถต่อดยุคผู้เป็นพ่อ เขานั้นทั้งแข็งแกร่ง มั่นใจ และกระตือรือร้นด้วยความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ในการ
กอบกู้ความรุ่งโรจน์ที่หายไปของลาเซอ นิคลอส ยังได้พัฒนาบางสิ่งในหมู่ทหารองครักษ์ของจักรวรรดิในระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งกัปตันในกรมทหารเฮอชิงเบิร์กมาอย่างยาวนานตามความเหมาะสมกับบุตรชายของผู้ปกครองของรัฐข้าราชบริพารที่อยู่ใต้บังคับบัญชา ทั้งคำสั่งทางการทหารของนิคลอส ประสบการณ์ภาคสนามและการฑูตที่เสนอโดยพระสันตะปาปาวาเลเรียซึ่งเป็นที่ปรึกษาที่เชื่อถือได้นั้น ได้แสดงเห็นว่าดวงเมืองของนครลาเซอเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเปรียบเทียบกับอาณาจักร “แม่” ของตน และได้เปลี่ยนแปลงยกระดับให้กลายเป็น “สาธารณรัฐดัชชี” น่าเสียดายที่ความนิยมกลุ่มใหม่ของดยุคในเวลาต่อมานั้นกลายเป็นหนามข้างกายที่น่าสมเพชของจักรพรรดิเนโรองค์ใหม่ซึ่งมีอายุน้อยกว่า ซึ่งพระองค์นั้นตระหนักดีว่าการทะเลาะโต้เถียงกันในศาลอาจทำให้ตำแหน่งของเขาต้องถึงกับสั่นคลอน ซึ่งนั่นนับเป็นสัญญาณแรกที่แสดงถึงความอ่อนแอ จักรพรรดิวางแผนเพื่อกีดกันดยุคของภรรยาและลูกสาวของเขา จากนั้นถอดเขาออกจากการบังคับบัญชาของจักรวรรดิและกองทหารของเขาในแบบที่น่าขายหน้า แม้ว่าชะตากรรมของนิคลอสก็ยังถูกผูกมัดด้วยพลังแห่งความมืดที่อยู่เหนือตราประทับใกล้กับหลุมฝังศพของบรรพบุรุษของเขา ไม่ว่าจะเป็นเพราะการกระทำของราชาผู้ศักดิ์สิทธิ์หรือเหตุผลอื่นใด ๆ ก็ตาม นิคลอสเริ่มได้ยินเสียงแผ่วเบา กระซิบในยามค่ำคืนเพื่อให้กำลังใจเขาบนเส้นทางแห่งการล้างแค้นและไกลจากแนวคิดในอุดมคติของผู้ปกครองที่กษัตริย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์กำหนดไว้ ดาพบของราชองครักษ์ที่แขวนอยู่เหนืออาณาจักรลาเซอตลอดเวลาราวกับมีดที่คอของผู้คนนั้นทำให้ และนิคลอสหมดหวังที่จะแก้ปัญหาของเขาจนทำให้เขารับฟังแผนการที่เลวร้ายและน่าสะพรึงกลัวที่สุดของวาเลเรีย

Story Background

การทรยศของดยุคนิคลอสต่อจักรวรรดิเฮอชิงเบิร์กแทบจะไม่น่าแปลกใจเลยสำหรับบรรดาขุนนางที่มีตาแหลมคมต่อสถานการณ์ปัจจุบัน จักรพรรดินีโรแห่งราชวงศ์เฮอชิงเบิร์กองค์ใหม่ได้สร้างชื่อเสียงให้กับความขุ่นเคืองต่อทายาทของกษัตริย์ศักดิ์สิทธิ์และขุนนางของพวกเขาเมื่อถึงเวลาที่รัฐข้าราชบริพารตัดตัวเองออกจากจักรวรรดิด้วยการก่อกบฏอย่างเปิดเผย ทว่าจักรพรรดิได้ประเมินความแข็งแกร่งแห่งความมุ่งมั่นของนิคลอสต่ำเกินไป สุดท้ายจึงพบว่ามีการไว้ทุกข์มากมายในเมืองหลวงของจักรวรรดิ ในวันที่ประกาศการแยกตัวระหว่างนายพลและทหารที่ฉลาดกว่าตนออกไป

แต่ถึงกระนั้นด้วยอำนาจของจักรวรรดินั้น เขาจึงนับได้ว่าเป็นผู้ก็มีชัย ซึ่งในไม่ช้านั้นลาเซอก็ได้พบว่าตนนั้นสูญเสียดินแดนไปมากกว่าครึ่งหนึ่งของดินแดนเดิมที่มีทว่าจักรพรรดิได้ประเมินความแข็งแกร่งแห่งความมุ่งมั่นของนิคลอสต่ำเกินไป และมีการไว้ทุกข์มากมายในเมืองหลวงของจักรวรรดิในวันที่ประกาศการแยกตัวระหว่างนายพลและทหารที่ฉลาดกว่าเขา ถึงกระนั้นพลังของจักรวรรดิก็มีชัย และในไม่ช้าลาเซอก็พบว่านครของตัวเองสูญเสียพื้นที่ไปมากกว่าครึ่งหนึ่งของดินแดนที่มีเดิม ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สิ้นหวังนี้เองที่พระสันตะปาปาวาเลเรียแห่งภาคีอัคคีศักดิ์สิทธิ์พบโอกาสที่จะย้ายข้อเสนอแนะที่รอคอยมายาวนานของตน นั่นคือการไปเยือนเกาะแห่งโฮลี่คิงคาร์ลอสด้วยความหวังว่าพลังอันยิ่งใหญ่บางอย่างอาจถูกผนึกไว้ภายในหลุมฝังศพของตนด้วย การเดินทางบังคับให้ต้องผนึกเวทมนตร์มืดใกล้กับสุสานของกษัตริย์ศักดิ์สิทธิ์และได้ค้นพบสองสิ่งทันที รอยแยกมิติได้เปิดขึ้นที่นี่ในอดีตจากระนาบของพลังงานที่บริสุทธิ์และวุ่นวาย และประการที่สอง ใด ๆ แรงที่จะใช้พลังงานดังกล่าวจะกลายเป็นอมตะอย่างได้ผล! นี่เป็นเหตุผลเพียงพอสำหรับนิคลอสที่จะตะลุยในเวทมนตร์ที่เขาไม่เข้าใจเพื่อช่วยผู้คนของเขาและแก้แค้นให้กับเฮอชิงเบิร์กที่เขานั้นแสนเกลียดชัง

Story Background

วาเลเรียเป็นนักบวชหญิงชั้นสูงแห่งลาเซอ พระสันตะปาปาแห่งไฟศักดิ์สิทธิ์ และเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่สุดในแผ่นดิน ยกเว้นดยุคแห่งลาเซอเอง การควบคุมของวาเลเรียเหนือภาคีไฟศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นองค์กรทางศาสนาที่ก่อตั้งโดยราชา
ศักดิ์สิทธิ์คาร์ลอสในระหว่างการต่อสู้กับอสูรความมืดบ่งบอกถึงความชอบธรรมต่ออำนาจของเธอโดยไม่ต้องสงสัย ชาวลาเซอนั้นยังคงมั่นใจได้ว่า ภาคีผู้บูชาแสงและไฟศักดิ์สิทธิ์ จะยังคงนำทางอาณาจักรต่อไปให้ผ่านห้วงเวลาที่ยากลำบากเหล่านี้ ซึ่งทางดยุคนั้นก็ได้รับการสนับสนุนด้วยภักดีอันล้นพ้นจากนักบวชหญิงชั้นสูงของพระองค์ให้การปกป้องคุ้มครองพสกนิกรของตน

ทางวาเลเรียนั้นได้รับหน้าที่เป็นอัครทูตผู้ภักดีของภาคีมาเป็นเวลานานหลายปีก่อนจะเสด็จขึ้นครองตำแหน่งสังฆราช – โดยเธอนั้นได้ออกเดินทางไปยังลาเซอ เผยแพร่คำสอนและวัจนะของผู้บูชาแสงแห่งไฟศักดิ์สิทธิ์ให้กับผู้คน คอยรับฟังคำร้องเรียนของพลเมือง แก้ไขปัญหา และคัดสรรเหล่านักบวชฝึกหัดเพิ่มเติม

โดยการรับใช้มานานหลายทศวรรษของเธอนั้นทำให้ได้รับรางวัลในอีกหลายปี ๆ ต่อมา จากนั้นตามมาด้วยพิธีบรมราชาภิเษกในฐานะสมเด็จพระสันตะปาปาองค์ใหม่ ซึ่งได้รับเสียงไชโยโห่ร้องจากประชาชนและเพื่อนร่วมงานของเธอ รู้สึกยินดีกับความคาดหวังของผู้นำคนใหม่ที่เคร่งศาสนาเช่นนี้ นิคลอสตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าวาเลเรียสนใจด้านการเมืองและเศรษฐศาสตร์ และลาเซอเริ่มรุ่งเรืองอย่างมากภายใต้การปฏิรูปต่างๆ ของวาเลเรีย ในที่สุดก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากรัฐข้าราชบริพารเป็น “ดัชชี” ภายในอำนาจสูงสุดของจักรวรรดิ วาเลเรียอาจดูไม่มีค่าราคาอะไรเลย หากเธอไม่ใช่ผู้รับใช้ที่เคร่งศาสนาของดยุคนิคลอสผู้ยิ่งใหญ่ในราชสำนัก ณ ห้วงเวลานี้ และแม้ว่าดยุคเองก็อาจไม่ได้ตระหนักถึงขอบเขตของพลังที่แท้จริงของวาเลเรียในลาเซอ รวมถึงที่เธอสามารถทำอะไรต่าง ๆ ได้สำเร็จรวดเร็วอย่างชื่อ

“โอ จงสดับถึงเจตจำนึงของเทพธิดา และนำทางเจ้าไป โอ เหล่าวิญญาณที่น่าสงสาร โอ เหล่านักเดินทางผู้เร่ร่อน!”

Story Background

เรือที่ดำทะมึนได้เดินทางผ่านน่านน้ำดำมืดเพื่อส่งวัตถุต้องคำสาปไปตามท้องทะเลอันเงียบสงบ เมื่อมีความเชื่อว่าจุดอ่อนทางร่ายกายมนุษย์ที่อ่อนแอต่อความรุนแรงสามารถแก้ไขด้วยการใช้หุ่นที่สามารถต้านทานเวทมนตร์รุนแรง จึงได้มีการสร้างหุ่นเหล็กนี้ขึ้น อย่างไรก็ตามในเวลานี้ เหล่าลูกเรือกำลังจะปลดปล่อยหุ่นเหล็กลงสู่ท้องทะเล!

เกราะเหล็กปลุกเสกนี้มีชื่อว่า “อังเดร” ซึ่งเป็นผลงานชั้นยอดของพ่อมดที่ปราดเปรื่อง ผลงานนี้ทำให้พ่อมดที่ความสามารถด้อยกว่ารู้สึกหวาดกลัว พวกเขาจึงวางแผนกำจัดเกราะเหล็กนี้ แต่เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถทำอันตรายใดๆ ต่อเกราะเหล็กนี้ได้เลย พวกเขาจึงลอบส่งมันไปอยู่ในที่ๆ ไม่มีใครหามันพบ และนั่นก็คือใต้ท้องทะเลลึก แต่พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่า อังเดรจะช่วย “เมกาโลดอน” ฉลามจอมกระหายเลือดที่กลายเป็นซากไปแล้วให้กลับฟื้นคืนชีพอีกครั้ง

ในอดีต เมกาโลดอนเคยเป็นเจ้าแห่งท้องทะเล ในช่วงที่เขามีชีวิตอยู่เขาได้เรียนรู้วิธีรักษาจิตวิญญาณของเขาเอาไว้ แม้ร่างกายจะย่อยสลายไปแล้ว ในเวลาต่อมาเขาได้ถูกจับได้และล่ามเอาไว้กับ “สมอวินาศ” ที่ก้นทะเลลึกเป็นเวลาหลายร้อยปี แม้ว่าพลังจะอ่อนแอลงอย่างมาก แต่เมื่ออังเดรที่จมลงสู่ก้นทะเล ตกลงไปข้างวิญญาณของฉลามยักษ์ มันก็เพียงพอที่จะช่วยให้เมกาโลดอนเข้าไปสิงอยู่ในเกราะเหล็กอังเดรได้ และเป็นเรื่องบังเอิญอย่างมากที่ธาตุของเมกาโลดอนและอังเดรนั้นเข้ากันได้อย่างลงตัว และทำให้เขาสามารถควบคุมสมอวินาศได้และใช้มันเป็นอาวุธได้อย่างยอดเยี่ยม

“พวกมนุษย์! แม้บรรพบุรุษของเจ้าจะตายไปแล้ว แต่ข้าจะไม่มีวันยกโทษให้พวกเจ้า ข้าถูกจองจำมาเป็นเวลาหลายร้อยปี! และพวกเจ้าจะต้องชดใช้!” เมกาโลดอนยกสมอวินาศขึ้นจากผืนทรายด้วยมือเหล็กของอังเดร การแก้แค้นกำลังจะเกิดขึ้น…

Story Background

ผู้บัญชาการภูตจากโลกโบราณบอลเบอริธดำรงอยู่ก่อนที่ทวีปออเรลิกาจะกำเนิดขึ้นและมีโอกาสที่จะคงอยู่หลังจากการทำลายล้าง ทูตแห่งความโกลาหลเจ้าเล่ห์บอลเบอริธเป็นคู่ต่อสู้ที่อันตรายยิ่งกว่าสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่รู้จัก ดาบทั้งสองเล่มของเขานั้นอาบด้วยพลังแห่งปีศาจเพื่อช่วยสร้างความหวาดกลัวให้กับคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอ และปีกของกระดูกของเขาเองก็เป็นดาบที่อันตราย แม้ว่าจะมีน้อยคนที่สามารถเอาชีวิตรอดจากการเผชิญหน้ากับบัลเบริธเพื่อรายงานแจ้งให้ผู้อื่นทราบถึงข้อเท็จจริงที่ว่านี้

ไม่ค่อยมีใครใคร่รู้จักบัลเบริธนัก ยกเว้นในบางช่วงที่เขาพ่ายแพ้ในช่วงสงครามในสวรรค์และถูกขับไล่ไปยังออเรลิกา ซึ่งเขาทุ่มเทอย่างหนักเพื่อให้อสูรความมืดสามารถเข้าออกดินแดนแห่งการดำรงอยู่ของเราได้อย่างอิสระ ในไม่ช้า
บอลเบอริธได้รวบรวมสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ต่างๆ ที่อยู่ภายใต้ความมืดจำนวนมากเข้าเป็นกองทัพอันแสนชั่วร้ายของตน เขาได้ยกทัพบุกคนแคระของอาณาจักรภูเขาและป้อมปราการที่ “สุดแข็งแกร่ง” รอบ ๆ รอยแยกมิติ

ในขณะที่เหล่าปีศาจแห่งความมืดเองก็เข้าร่วมในการรบครั้งนี้ด้วย บอลเบอริธนั้นได้ทะยานขึ้นไปที่ป้อมปราการและได้ทำการการสังหารหมู่เหล่าผู้พิทักษ์และกลไกอาวุธต่าง ๆ ในป้อมปราการอย่างโหดเหี้ยม พวกคนแคระมองอย่างครั่นคร้าม เมื่อกองทัพของบัลเบริธนำสิ่งที่เรียกว่า “กุญแจ” ขึ้นไปยังอาณาจักรแห่งขุนเขา ประตูบาสเตียนเผยให้เห็นรอยแยกมิติและเมืองดกของคนแคระและเผชิญสู่เงื้อมมือแห่งความโกลาหล

แต่คนแคระก็ไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพังในวันนั้น เป็นครั้งแรกในรอบหลายพันปีที่ยักษ์เหล็กเข้ามาแทรกแซงในเรื่องของมนุษย์ ไททันโยนบอลเบอริธเข้าไปในรอยแยกมิติหลังจากดึงหัวใจของจอมอสูรร้ายซึ่งจะถูกเก็บไว้อย่างปลอดภัยโดยผู้ปกครองเผ่าโมลเทน จากนั้นไททันได้ตั้งข้อหากับผู้รับใช้ของตนอย่างเคร่งครัดในการปกป้องทั้งรอยแยกมิติและตอนนี้ก็ถึงคราวของ “หัวใจแห่งไฟ” โดยเตือนคนแคระว่าทั้งอสูรความมืดและบอลเบอริธจะไม่มีสิทธิ์กลับมาเหยียบออกเรลิกาอีกครั้งโดยไม่มีเหตุร้ายแรงใดๆ เกิดขึ้น

Story Background

ชีวิตในวัยเด็กของเซียร่าเป็นการผสมผสานที่ไม่เข้ากันเอาเสียเลยระหว่างความมีอภิสิทธิ์ในฐานะสมาชิกในวงขุนนางและความไร้อำนาจในฐานะสตรีที่อาศัยอยู่ภายใต้สังคมที่ชายเป็นใหญ่ของจักรวรรดิเฮอชิงเบิร์ก ในขณะที่นางยอมรับมันด้วยความขมขื่น ประชาชนทั่วไปและชาวนาในจักรวรรดิกลับมีความเป็นอิสระมากขึ้น พวกเขามีชีวิตที่อิสระมากกว่าพวกชนชั้นสูงเสียอีก การแต่งงานที่ไร้ความรักของแม่นางและการตายอย่างน่าเศร้าของพี่สาวนางที่ถูกคลุมถุงชน ยิ่งตอกย้ำความจริงข้อนี้สำหรับเซียร่า นางรู้ว่ามีเพียงเวทมนตร์เท่านั้นที่จะเปลี่ยนชะตากรรมของนางได้ มันคืออำนาจสูงสุดที่ทำให้ผู้ร่ายคาถาเป็นใหญ่เหนือสถานการณ์ของพวกเขา ไม่ว่าผู้ร่ายจะมาจากตำแหน่งชนชั้นใดๆ ก็ตาม เซียร่าใช้เวลาอย่างยาวนานในยามค่ำคืนเพื่อศึกษาศาสตร์แห่งเวทย์มนตร์อย่างจริงจัง สั่งสมทักษะอันทรงพลังที่สามารถมอบชีวิตอิสระให้กับนางได้ ในสังคมจักรวรรดิที่โหดร้าย ความทุ่มเทและความมุ่งมั่นของเซียร่ารู้ถึงหูนักบวชหญิงชั้นสูงวาเลอเรีย ผู้ที่ต่อมาได้เสาะหาวิธีไปพูดคุยกับเซียร่าเป็นการส่วนตัวที่ห้องของนางในอคาเดมี วาเลอเรียเผยให้เซียร่ารู้ว่านางสามารถเข้าถึงพลังอำนาจสูงสุดได้อย่างง่ายดาย ขอเพียงแค่ยอมคุกเข่าให้กับเจ้าแห่งความมืด มันเป็นข้อเสนอที่เย้ายวนสำหรับสตรีสูงศักดิ์ผู้มีความสิ้นหวังและร้ายลึกอย่างเซียร่า เพื่อเสริมความมั่งคั่งให้กับตระกูล พ่อของเซียร่าได้บังคับให้นางแต่งงานกับเจ้าชายผู้ชั่วร้ายคนเดิมที่เป็นเหตุให้พี่สาวของนางตาย และนี่เป็นโอกาสที่สาธารณชนจะได้รับรู้ถึงพลังอำนาจใหม่ที่น่าสะพรึงกลัวของเซียร่า นางแสร้งทำตัวว่านอนสอนง่ายโดยการเข้าร่วมพิธีหมั้นหมายและได้เลือกช่วงเวลาการกล่าวสุนทรพจน์ในการเปิดเผยทักษะใหม่ ด้วยการปลดปล่อยไฟนรกจากเวทย์เพลิงเข้าใส่ครอบครัวของคู่หมั้นนาง โดยที่ทหารองครักษ์ไร้อำนาจที่จะป้องกัน การสังหารหมู่อันฉาวโฉ่นี้ทำให้เซียร่าถูกขับออกจากสังคมชั้นสูงไปตลอดกาล ความมืดในยามค่ำคืนช่วยให้นางหลบหนีนักเวทย์องครักษ์ของจักรวรรดิไปได้และมุ่งหน้าไปหาวาเลอเรีย ผู้ซึ่งยอมรับนักเวทย์อายุน้อยผู้ทะเยอทะยานและกระหายอำนาจไว้ใต้ปีก เซียร่าได้อุทิศตนเองให้กับวาเลอเรียและเจ้าแห่งศาสตร์มืด และในตอนนี้ นางกำลังทำภารกิจเพื่อช่วยเหลือนิคลอสและแผนการอันยิ่งใหญ่ของเขา

Story Background

เมื่อมีคนเล่าเรื่องราวของสหายในตำนานของราชาศักดิ์สิทธิ์ สมาชิกคนแรกในกลุ่มที่สนิทชิดเชื้อของเขาที่นึกขึ้นมาได้คือมหาจอมเวทย์ไมก้า ผู้สร้างและผนึกเวทมนตร์ในตำนานบนหลุมฝังศพศักดิ์สิทธิ์ของตน หรือบางทีอาจจะเป็นมังกรดำต้องสาปที่บินสูงอยู่บนท้องฟ้าอย่างอากูลิสกัน มีสามัญชนเพียงจำนวนน้อยเท่านั้นที่จะรับรู้ถึงผู้ช่วยอีกคนที่ไว้ใจได้อย่างอบาดอน เขานั้นเป็นผู้อาศัยอยู่ในความมืด ร่างที่น่าสะพรึงกลัวถือเคียวของยมฑูตผู้มักสร้างความหวาดกลัวให้กับศัตรูของพระราชา

เราอาจพูดได้ว่าราชาผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้นำแสงสว่างที่แท้จริงมาสู่ลาเซอ ในทำนองเดียวกัน ทางอบาดอนเองก็ทำเช่นเดียวกันจากเงามืด คือการกำจัดศัตรูของคาร์ลอสและขจัดสิ่งกีดขวางออกไปเพื่อให้จุดประสงค์ที่ยิ่งใหญ่ของเขาบรรลุผล ดังที่อบาดอนได้บอกกับตัวเองว่า เขานั้นได้ย้ายไปอยู่ท่ามกลางผู้คนราวกับเป็นผู้เก็บเกี่ยวในช่วงเวลาที่เลวร้ายเมื่อคาร์ลอสกำลังก่อตั้งอาณาจักรของตน ซึ่งช่วยให้แผนการของคาร์ลอสเกิดขึ้นได้ด้วยความหวาดกลัวตามที่เขาตั้งใจ ตัวตนและอดีตของอแบดดอนก็ถูกปกปิดในความมืดเช่นเดียวกัน เบื้องหลังชุดเกราะสีดำและหน้ากากที่น่าสยดสยองซึ่งเขาใช้ป้องกันใบหน้าหรือการเลือกอาวุธในการต่อสู้

บางทีเฉพาะผู้ที่ได้ลิ้มรสความหวาดกลัวที่แท้จริงของอสูรความมืดเท่านั้นที่จะสามารถสัมผัสดะยหชม ระยะเวลาที่คาร์ลอสรู้สึกว่าเขาต้องทำเพื่อปกป้องผู้คนจากภัยใกล้สูญพันธุ์ที่ทำลายล้างโลกนี้ ไม่ว่ามนุษย์จะต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตาม เวลานั้นแตกต่างกันอย่างแน่นอน ความมืดวิ่งอาละวาดไปทั่ว ออเรลิกาทำให้มนุษย์กลายเป็นสัตว์ร้ายด้วยการเคลื่อนตัวผ่านพ้นของคลื่นขนาดยักษ์ อบาดอน นักบวชผู้เคร่งศาสนาผู้อยู่ในระหว่างรับใช้เทพธิดา ได้เข้าไปลี้ภัยกับผู้คนของเขาในโบสถ์ของเทพธิดา และในขณะที่สวดอ้อนวอนขอความคุ้มครอง ก็ได้เผชิญหน้ากับพลังของผู้รับใช้แห่งความมืดที่เริ่มสังหารหมู่เหล่าสหายของตน เขาต่อสู้อย่างกล้าหาญกับกลุ่มนักบวชที่ภักดี และเกือบจะพลาดท่าต่อคาร์ลอสและทหารยอดฝีมือที่เดินทางมาถึง

คำอธิษฐานของอแบดดอนได้รับคำตอบอย่างอัศจรรย์ ณ ตอนนั้นเอง เขาเริ่มมองว่าคาร์ลอสเป็นบุตรแห่งแสงสว่างที่นำพามาโดยเทพธิดา ความจงรักภักดีของอบาดอนต่อเทพธิดาและ “ผู้มอบหมาย” ของเขานั้นยิ่งใหญ่จนศรัทธาของเขานั้นยังคงอยู่ตลอด รวมถึงการกระทำอันสูงส่งที่กษัตริย์ศักดิ์สิทธิ์ได้ลงมือเพื่อปกป้องอาณาจักรของเขาไว้ ไม่ว่าจะเป็นการลงมือฆาตกรรม การประหารชีวิต และการส่งหนังสือสนเท่ห์ ซึ่งจำเป็นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยทางแพ่งและทางสังคม อบาดอนรับใช้โดยไม่มีข้อครหาใด ๆ ในฐานะหนึ่งในมือขวาที่ไว้ใจได้มากที่สุดของคาร์ลอสเบื้องหลังเงามืด บุรุษผู้ศรัทธาต่อกษัตริย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งไม่มีใครเหมือนอย่างที่คาร์ลอสมักกล่าวไว้ว่า: “เทพธิดาไม่อาจช่วยเราได้ เราต้องพึ่งพาตนเอง และนั่นคืออาณาจักรที่ฉันกำลังจะสร้างให้พวกเขา” ความโหดเหี้ยมที่เพิ่มขึ้นของคาร์ลอสในฐานะกษัตริย์ได้รับการพบและเข้าคู่กับความมืดมิดของอาบาดอนที่อยู่เบื้องหลัง “เพื่อประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่กว่า”

Story Background

เจ้าหนุ่มแกนเจโล่ เกิดในตระกูลขุนนางในจักรวรรดิ เขามีชื่อเสียงในด้านความสามารถในการเล่นแร่แปรธาตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวิจัยในแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม การแสวงหาสูตรเล่นแร่แปรธาตุใหม่ๆ ของแกนเจโล่นั้นเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล เมื่อส่วนผสมใหม่ได้ระเบิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้เคหาสน์ของเขาเละกระจุยและยังทำให้แกนเจโล่ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง อีกทั้งยังหสังหารสมาชิกในครอบครัวส่วนใหญ่ของเขาเกือนหมดสิ้น เว้นแต่ อัคซูล น้องชายของเขา เมื่อแกนเจโล่ได้สติขึ้นมาก็พบว่าเกือบแทบไม่รอดชีวิต

แกนเจโล่ที่สิ้นหวังนั้นได้ทุ่มเทกับการผสม การทดลอง หรือเข้าศึกษาในโรงเรียนเวทมนตร์ความมืดเพื่อที่จะช่วยชีวิตน้องชายของตน และในที่สุดก็ประสบความสำเร็จในการสร้างร่างต้นแบบใหม่สำหรับร่างกายที่แทบจะไร้สมรรถภาพของ อัคซูล นั่นคือมนุษย์สิ่งมีชีวิตกึ่งแมลงที่แกนเจโล่ สามารถย้ายอวัยวะที่สำคัญของอัคซูลได้อย่างปลอดภัย

อัคซูลสิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งสัตว์ประหลาดสามารถยืนและเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ แต่การค้นพบจาก “การทดลอง” ของแกนเจโล่นั้นทำให้จักรวรรดิดำเนินคดีและกักขังนักเล่นแร่แปรธาตุที่ทำตามใจตัวเอง ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อ “ความปลอดภัยของสาธารณะ” โดยอัคซูลได้หลบหนีจากการตามตัวของ จักรวรรดิ และให้ความร่วมมือกับ “นักวิทยาศาสตร์” นอกรีตนาม “เดสมอนด์” จนในที่สุดทั้งคู่ก็ประสบความสำเร็จในการแยกองค์ประกอบ ส่วนเมื่อแกนเจโล่ออกจากคุกแล้ว เขาได้มีชีวิตใหม่ในฐานะหัวหน้านักเล่นแร่แปรธาตุของกลุ่มนักปล้นวิญญาณ

Story Background

เดสมอนด์จบการศึกษาจากนักเวทย์ผู้รักษารุ่นเยาว์จากสถาบันอิมพีเรียลด้วยความเชี่ยวชาญในการรักษา การทำยา และการอัญเชิญ และกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่เป็นที่ต้องการอย่างรวดเร็ว หากลูกค้าของ เดสมอนด์ สามารถบ่นเกี่ยวกับสิ่งหนึ่งได้ บางทีเขาอาจจะเน้นเฉพาะผู้ป่วยที่รักษาให้หายขาดน้อยที่สุดหรือใกล้ตายที่สุด นิสัยแปลก ๆ นั้นเริ่มก่อให้เกิดความสงสัยขึ้นทั่วไปเนื่องจากการเสื่อมสภาพอย่างไม่คาดคิดในหลายๆ กรณีของเขาซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ด้วยการใช้เวทมนตร์รักษาธรรมดา อันที่จริงเดสมอนด์นั้นได้ทำการทดลองกับผู้ป่วยที่มีอาการหนักที่สุดของเขาด้วยส่วนผสมใหม่ที่คาดเดาไม่ได้ การถูกขับไล่ออกจากตำแหน่งครั้งแรกของเดสมอนด์นั้นเกิดขึ้นด้วยน้ำมือของสหายร่วมงานที่ขู่ว่าจะเปิดเผยเขาเมื่อค้นพบการทดลองยาที่ผิดจรรยาบรรณ เดสมอนด์พยายามชะลอการรายงานของสหายร่วมงานต่อเจ้าหน้าที่ด้วยการอุทธรณ์อย่างมีชั้นเชิงต่อการปฏิบัติการุณยฆาตด้วยความเห็นอกเห็นใจของเขาสำหรับผู้ป่วยวิกฤต แต่จากนั้นก็ใช้โอกาสที่มีในยามราตรีเข้ามาเงียบๆ และลอบสังหารสหายร่วมงานของเขาอย่างเงียบ

นี่เป็นเพียงครั้งแรกใน เหตุการณ์ที่อธิบายไม่ได้หลายอย่างในโรงพยาบาลซึ่งทำให้คนทั่วไปสงสัยในแนวทางของเดสมอนด์ อันที่จริง เดสมอนด์เริ่มรู้สึกว่าเขาไม่นานสำหรับวิชาชีพแพทย์ เป็นความจริงที่ เดสมอนด์ ได้ทดลองในตอนแรกเฉพาะกับอาสาสมัครที่ห่างจากความตายเพียงไม่กี่ชั่วโมงหรือหลายวันเพื่อจุดประสงค์และจุดประสงค์ทั้งหมด แต่เขารู้สึกว่าแม้การป้องกันนี้จะไม่ชนะสหายร่วมงานของเขาและยิ่งกว่านั้นเขายังมี รู้สึกปลาบปลื้มที่บิดเบี้ยวในคดีฆาตกรรมโดยไม่ได้ตั้งใจหลายต่อหลายครั้ง เดสมอนด์ตระหนักว่าเขาชอบความรู้สึกมีอำนาจเหนือมนุษย์อย่างแท้จริง และในเดือนต่อๆ มา เขาก็กลายเป็นเหยื่อของความประมาทเลินเล่อจริงๆ ที่เขาได้สั่งการปรุงยาแบบทดลอง

ในที่สุดวันที่เดสมอนด์ก็ถูกบังคับให้หนีไป ลี้ภัยจากจักรวรรดิ แต่พลังเวทย์มนตร์ของเขาทำให้แน่ใจได้ว่าเขายังคงเป็นเป้าหมายที่เข้าใจยากต่อผู้พิทักษ์จักรวรรดิซึ่งมักจะหงุดหงิดกับความสามารถของเขาในการเรียกฝูงกาที่ดูเหมือนจะเต็มใจที่จะหลบเลี่ยงการจับกุม เดสมอนด์ใช้เวลาหลายปีในการหลบซ่อนตัวอยู่ในบริเวณชายแดนทางตะวันออกและตะวันตกที่ห่างไกลออกไป จนกระทั่งการรักษาผู้ป่วยที่ป่วยอย่างไม่สิ้นสุดได้ดึงดูดใจเขาให้มาที่เพกาซัสเมื่อมีข่าวการระบาดของกาฬโรคมาถึงหูของเขา เดสมอนด์พบว่าบริกาของเขาในฐานะแพทย์ที่มีความต้องการสูงอีกครั้งในเพกาซัส และรู้สึกตื่นเต้นมากนับตั้งแต่มีโอกาสสวมหน้ากากกระโหลกอีกาของเขา และใช้มนตร์เสน่ห์อันโหดร้ายกับผู้ป่วยโรคระบาดที่สิ้นหวัง

Story Background

เผ่าทอเรนเป็นหนึ่งในไม่กี่เผ่าพันธุ์ในกลุ่มที่มีความหลากหลายที่เล่าขานว่า “จอมสัตว์ร้าย” แห่งป่าเลือดอสูรที่มีความสัมพันธ์กับเวทมนตร์ธาตุ ทำให้เผ่าทอเรนเป็นเผ่าคนทรงที่ความสามารถเป็นเอกลักษณ์ของป่าเลือดอสูร อย่างที่ไม่มีที่ใดเหมือน ซึ่งคนทรงชราอย่างแบล็คธอร์นนั้นอาจมีพรสวรรค์มากที่สุด

แบล็กฮอร์น นั้นเป็นชาวเผ่าทอเรนที่อ่อนโยน มีความแข็งแกร่งประดุจดังต้นโอ๊คและความเห็นอกเห็นใจอีกฝ่าย ด้วยพรสวรรค์ในการเป็นผู้นำตามธรรมชาติอันมาจากความกังวลของตนต่อสิ่งมีชีวิตในป่า การอุทิศตนให้กับป่าของแบล็คฮอร์นนั้นได้รับคำยกย่องชมเชยอย่างเหมาะสมด้วยความโปรดปรานของไกอาเอง และเทพธิดาแห่งธรรมชาติ ที่ได้มอบความสามารถในการอัญเชิญหนามแหลมคม เหล่าทริสเติล พลังที่ช่วยปกป้องพิทักษ์ธรรมชาติและสัตว์ป่า ชื่อเสียงด้านสติปัญญาและความเข้าใจเชิงปรัชญาของแบล็คฮอร์นนั้นทำให้เขาได้รับความเคารพจากผู้นำคนอื่นๆ แม้กระทั่งผู้ที่อยู่ห่างไกลจากแดนพนา เช่น เอลฟ์ผู้เย่อหยิ่งในป่านางไม้ รวมถึงเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ของแดนทะเลทรายไคซัส ทั้งนี้เนื่องจากความเต็มใจของ
แบล็คฮอร์นที่จะคอยให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ต้องการ เขาเป็นที่รู้จักอย่าง
กว้างขวางในปัจจุบันว่าเป็น “ปรมาจารย์ผู้เมตตา” แห่งป่า

Story Background

ผู้พิทักษ์แห่งป่านางไม้นั้นนับได้ว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่ง ซึ่งมีประวัติที่เล่าขานมาอย่างยาวนาน และมีเรื่องราวมาตั้งแต่สมัยยุคบรรพกาล แม้แต่ตอนที่พวกเอล์ฟนั้น ได้เริ่มทำการอพยพจากภูเขาฟินิกส์เป็นเวลานานแล้ว ซึ่งจะเป็นการเปิดทางให้เฉพาะนักรบเอล์ฟชั้นยอดเท่านั้นที่จะสามารถร่วมในกลุ่มองครักษ์ป่านางไม้ได้ อีกทั้งยังต้องมีการเคลื่อนไหวและการกระทำที่มีความเด็ดขาด มีความแม่นยำทางการทหารมาก บุกและทำลายล้าง และช่วยเหลือชีวิตได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว โดยเหล่าเอล์ฟแห่งป่านางไม้นั้น ตามที่ศัตรูบุกเข้ามาหลายครั้งและหลายทาง

โดยผู้บัญชาการของกลุ่มกองรบที่สวมชุดในตำนานนี้ ไม่ใช้ใครอื่นนอกจากทาชีร์ ทาชีร์นั้นเป็นนักรบที่มีประสบการณ์ในระดับหนึ่งพันปี ซึ่งช่วยเหลือผู้คน จากนั้นได้เป็นผู้เข้ามาใหม่ของกลุ่มองครักษ์ ซึ่งเปรียบเทียบกับพี่น้องที่อายุยืนยาวกว่าปกติแล้ว ทาชีร์นั้นไม่ถือว่าเป็นนักดาบสตรีที่เก่งที่สุด เป็นนักแม่นปืนที่แข็งแกร่งที่สุด หรือเป็นกับตันที่สร้างความประทับใจที่ได้มากที่สุด แต่ทว่าข้อบกพร่องทางร่างกายต่าง ๆ นั้น ได้รับการชดเชยด้วยสัญชาตญาณที่ไม่ธรรมดาของเธอในสนามรบ รวมถึงความสามารถในการรักษาชีวิตของเพื่อน องครักษ์ของเธอ ทำให้หน่วยของเธอนั้นจึงสามารถรับมือกับคู่ต่อสู้ได้หลายครั้ง แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีจำนวนมากกว่าก็ตาม

ด้วยเหตุนี้เองทาชีร์ จึงได้รับเลือกเป็นผู้บัญชาการของกลุ่มองครักษ์แห่งป่านางไม้ ต่อสู้ด้วยอาร์ติแฟกซ์ก็คือแสงดาวศักดิ์สิทธิ์ ทั้งนี้ทั้งนั้นความกล้าหาญและทักษะของทาชีในสนามรบนั้นเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในป่าซิลแวน หรือแม้แต่พื้นที่ ๆ อยู่ใกล้เคียงอย่างป่าเลือดอสูรนั้นกลับมาสงบสุขมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน

Story Background

ในวัยเด็ก แบชลาร์ดแห่งเผ่าเสือดาวอาศัยอยู่ในพื้นที่อันห่างไกลของป่าเลือดอสูรกับแม่ที่อ่อนแอและป่วยกระเสาะกระแสะของเขา ด้วยเหตุนี้เผ่าเสือดาวซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแกร่งเหนือเผ่าอสูรกายทั้งปวงจึงไม่ยอมรับนาง นางจึงเลือกที่จะพาลูกชายปลีกตัวออกจากสังคม

การเติบโตมาอย่างสันโดษทำให้แบชลาร์ดมีมุมมองชีวิตที่ไม่ธรรมดาและมีมิตรภาพกับเพื่อนต่างเผ่าพันธุ์อย่างอเลสเซีย มนุษย์ที่หัวหน้าเผ่าเก็บมาเลี้ยงด้วยความสงสารและนางมีความรู้สึกแปลกแยกจากเผ่าเหมือนกับเขา แบชลาร์ดใช้เวลาในวัยเด็กสำรวจป่าเลือดอสูรกับสาวน้อยผู้บอบบาง มิตรภาพที่อาจผลิบานเป็นอะไรที่มากกว่านั้น แต่แล้วก็เกิดเหตุร้ายที่พรากนางจากเผ่าเสือดาวไปตลอดกาล หลายปีผ่านไปความทรงจำที่แบชลาร์ดมีต่อนางก็ยังคงแจ่มชัด

แบชลาร์ดเติบโตขึ้นเป็นนักรบที่ยิ่งใหญ่ที่แม้แต่แม่ของเขาเองก็ไม่อาจหยุดโชคชะตานี้ได้ แบชลาร์ดได้รับความนิยมจากคนในเผ่าที่ในอดีตเคยไม่ยอมรับเขากับแม่ แม้ว่าแบชลาร์ดจะพบว่าเขาได้รับความสนใจ ทั้งจากเพื่อนชายที่คอยอิจฉา และจากสาวๆ ในเผ่าที่ประทับใจความแข็งแกร่งของเขา แต่แบชลาร์ดกลับรู้สึกเย็นชากับเพื่อนๆ ในเผ่า อาจเป็นเพราะประสบการณ์ในอดีตที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนคนนอกและมิตรภาพที่ไม่ธรรมดาในวัยเด็ก เขาจึงเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่นอกป่าเพื่อเติมเต็มสิ่งที่หายไปและตามหาเพื่อนมนุษย์ในวันเด็กของเขา

Story Background

ก็อดเฟรย์เป็นตัวตนสิ่งมีชีวิตโบราณที่บางคนรู้จักกันในนามว่าเป็นชาวป่า หรือเป็นนักปราชญแห่งป่าซิลแวน เขานั้นได้รับความเคารพกับเหล่าสัตว์ป่าทั้งหลายรวมถึงเอล์ฟ เนื่องด้วยมีนิสัยที่อ่อนโยน มีความเข้าใจในตัวผู้อื่นอีกทั้งยังสามารถรับบทบาทเป็นผู้พิทักษ์ได้ในบางครั้งที่เขาต้องกระทำในการช่วยเหลือเผ่าใดเผ่าหนึ่ง

บางทีนั้นก็อดเฟรย์ ผู้ลึกลับตนนี้ก็อาจจะเป็นเผ่าใดเผ่าหนึ่งมาก่อน ซึ่งเขานั้นก็เป็นหนุ่มที่มีความเลือดร้อนตนหนึ่ง ซึ่งมีแนวโน้มที่จะช่วยเหลือแก้ไขความขัดแย้งต่าง ๆ โดยที่เขาสามารถใช้พลังเวทย์มนต์ได้ ซึ่งความแข็งแกร่งของก็อดเฟรย์ก็ค่อย ๆ เพิ่มพูนขึ้นไป เขาก็ค่อย ๆ เข้าใจถึงความสำคัญถึงการรักษาผืนป่าให้สงบสุข และด้วยเหตุนี้เองเขาจึงได้รับบทบาทผู้พิทักษ์ของป่าอย่างลับ ๆ รวมถึงเป็นผู้ที่อาศัยของแท่นบูชาแสงดาวอยู่เป็นเวลาบ่อยครั้ง

หากมนุษย์ตนใดสัมผัสถึงธรรมชาติ และต้นกำเนิดที่แท้จริงของมัน นั้นอาจจะเป็นราชาฟีนิกซ์อย่างเวอร์จิลกับสหายนักรบของเขา ซึ่งเขาสามารถรอดพ้นจากเงื้อมมือของพวกดาร์กเอล์ฟได้ ทั้งนี้ด้วยการช่วยเหลือและการแทรกแซงของก็อดเฟรย์ ซึ่งเขาจะไม่ค่อยทำแบบนี้บ่อยนักในการไปยุ่งเรื่องของผู้อื่น โดยที่ระหว่างสงครามกลางเมือง ชาวเอล์ฟที่น่าสะพรึงกลัวก็ได้ทำลายล้างภูเขาฟินิกส์ ซึ่งก็อดเฟรย์เองก็เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง เป็นผู้ตระหนักถึงภัยคุกคามของดาร์กเอล์ฟ รวมถึงรอยแยกแห่งกลียุค ที่ส่งผลต่อทวีปออเรลิกา อีกทั้งเขายังเป็นผู้ให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีค่าที่ช่วยให้พวกเวอร์จิลนั้นได้เปรียบในการขัดความขัดแย้งและนองเลือด ซึ่งบางครั้งส่วนใหญ่ ก็อดเฟรย์ก็จะเป็นผู้ที่เลือกที่จะเป็นกลาง หรือมองดูความขัดแย้งเว้นแต่ว่ามันจะกระทบต่อเขา ในสิ่งที่เขาหวังว่าเป็นส่วนของธรรมชาติ

ดังนั้นก็อดเฟรย์นะ จึงได้เข้าแทรกแซงระหว่างการเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ของเวอร์จิลในการทุ่มสุดตัวเพื่อถล่มภูเขาฟินิกส์ ด้วยร่างกายเขานั้นเขาพยายามอย่างยิ่งที่จะมุ่งทำลายรอยแยกมิติแห่งกลียุครวมถึงปิดกั้นมันไม่ให้มันเข้าถึงอาณาจักรชาวเอล์ฟได้โดยป้องกันไม่ให้การมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของเหล่าปีศาจนั้นได้อีก ซึ่งเขานั้นก็ทำได้โดยการให้ความช่วยเหลือแก่เวอร์จิล จึงสามารถทำภารกิจนี้ได้สำเร็จ อีกทั้งก็อดเฟรย์ยังได้ช่วยเวอร์จิลในการรักษาในด้านจิตวิญญาณของเขาให้กับมาเหมือนมนุษย์ทั่วไปอีกครั้ง ซึ่งช่วยให้มิสเตเซีย ซึ่งเป็นสหายร่วมรบของเวอร์จิลสามารถรักษาแก่นชีวิตของเวอร์จิลไว้ในรูปกายหยาบได้ ซึ่งเป็นภารกิจที่หนักหนาอย่างยิ่ง

โดยก็อดเฟรย์ก็ยังคงกลับมาทำหน้าที่ของเขา ทำอยู่เสมอ ๆ ถึงแม้ว่าเขาจะเข้าไปยุ่งนั้นนี่บ้าง แต่เขาก็ทำเพื่อป่าอันสงบของตัวเขาเอง บางครั้งเขาก็หาอะไรทำ ทั้งนี้จิตวิญญาณของเวอร์จิลที่อยู่ในแท่นบูชาแสงดาว เขาก็ได้ไปพบกันบ้างเป็นบางครั้ง ดังนั้นเรื่องราวในอาณาจักรมนุษย์นั้นก็จะมีเพียงไม่กี่เรื่องที่ทางก็อดเฟรย์ได้เข้าไปแทรกแซง หรือเข้าไปยุ่งเกี่ยวในช่วยหลายพันปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ล่าสุดที่มีการคืนชีพของจอมอสูรแห่งความมืด รวมถึงกลุ่มลัทธิผู้ปล้นวิญญาณที่อาจทำให้ก็อดเฟรย์กลับมาเพื่อช่วยเหลือมนุษย์อีกครั้ง

Story Background

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าไซเรสเป็นดาร์คเอลฟ์ที่ทรงพลังมาก แม้ว่าเธอนั้นจะไม่มีชื่อตามเชื้อชาติของเธอก็ตาม แซนทิสผู้นับถือลัทธิ ไซเรสนักปล้นวิญญาณ นั้นไม่เหมือนน้องสาวของเธอ เธอไม่ค่อยเคารพอสูรความมืดหรือพลังของเขาเนื่องจากความล้มเหลวมากมายของเขาในช่วงนับพันปีในการตั้งหลักปักฐานอยู่ที่ออเรลิกา สำหรับไซเรสนั้น คำมั่นสัญญาอันหนักแน่นของชีวิตที่มีไม่รู้จบหรือพลังอันไร้ขอบเขตที่เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาเหล่านี้ดูธรรมดาไปในทันทีเมื่อเทียบกับคำสัญญาที่มั่นคงยิ่งกว่าของการพึ่งพาตนเอง

ปรัชญาของไซเรสจึงขัดแย้งอย่างมากกับพี่สาวของตน ทำให้ทั้งสองต้องแยกทางกันในฐานะไซเรส – ผู้รักสันโดษอันเป็นนิรันดรที่ได้จากมรดกดาร์กเอลฟ์ของเธอ ที่พยายามหาวิธีที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวเองจากผู้อื่น การสำรวจเป็นเวลานานในการค้นหาอาร์ติแฟกต์เวทมนตร์โบราณที่ทรงพลังนำเธอไปยังวิหารร้างลึกเข้าไปในป่าแห่งเนฟตาฟาร์ซึ่งมีการดัดแปลงศักดิ์สิทธิ์และดาบรูปงูติดอยู่ ไซเรสทราบทันทีหลังจากสัมผัสวัตถุนั้นว่าเธออาจทำผิดพลาดอย่างร้ายแรงเนื่องจากพลังงานภายในตัวเธอผุดขึ้นด้วยพลังที่แม้แต่เธอซึ่งเป็นจอมเวทย์มาตลอดชีวิตก็ควบคุมไม่ได้ ร่างของไซเรสหมดสติไปเมื่อจิตใจของเธอเข้าสู่ฝันร้ายชั่วนิรันดร์ ซึ่งเธอพบว่าตัวเองค่อยๆ จมน้ำตายในมหาสมุทรที่มีพายุซึ่งรายล้อมไปด้วยฟ้าผ่าที่ไม่มีวันจบสิ้น ในใจของเธอ เธอจินตนาการว่าอาร์ติแฟกต์นั้น อาจจะเป็นของพายุหรือบางทีอาจเป็นเพราะน้ำ ที่โค้งคำนับไหลไปตามกระแสไฟฟ้าเข้าไปในร่างที่กำลังจมน้ำของเธอ แต่ละคนแบกความเจ็บปวดจากเหล็กไนนับพันเข็ม น้ำเริ่มดูดเธอลึกลงไปใต้คลื่นน้ำ แต่เธอรู้ว่าเวทมนตร์ที่ร่ายไว้กับอาร์ติแฟกต์นี้จะคร่าชีวิตเธอหากเธอยอมรามือ ไม่! เธอดิ้นรนเพื่ออากาศและโอกาสที่จะแก้แค้นทุกคนที่กดขี่เธอ

สัปดาห์ผ่านไปในฝันร้ายที่ทนทุกข์ทรมานนี้แม้กระทั่งเป็นเวลาหลายเดือน เธอไม่แน่ใจเพราะดูเหมือนว่าจะอยู่ในห้วงมิติอื่นกับร่างมนุษย์ของเธอ ในที่สุด บางสิ่งในตัวเธอก็เริ่มดูดซับพลังของสายฟ้าที่สว่างวาบพุ่งลงมาบนร่างที่ไร้การป้องกันของเธอ เธอตระหนักว่าแสงแวววาบไม่ใช่การลงโทษจากอาร์ติแฟกต์ แต่เป็นของประทานแห่งพลัง ในที่สุดไซเรสก็ลืมตาขึ้น เธอกลับมาที่วิหารใต้แท่นบูชาอีกครั้ง กระหายน้ำ ผอมแห้ง หิวโหยและกุมดาบเอาไว้ในมือ เธอตั้งสติและลุกขึ้นยืน ดาบนั้นส่องแสง และปรากฏรัศมีทรงกลดเต็มวงก่อนที่จะกลับมาอยู่ในมือของเธออีกครั้ง พลังของเธอสามารถจดจำมันได้ ความแข็งแกร่งของเธอจึงได้กลับคืนมา คำถามเดียวที่เหลืออยู่คือจะทำอย่างไรต่อไป ไซเรสจะต้องใช้เวลาอยู่ในวิหาร ศึกษาอารยธรรมโบราณนี้และเวทมนตร์ของใครก็ตามที่สร้างอาวุธดังกล่าว เธอจะต้องใช้มันให้ได้อย่างสมบูรณ์แบบในการต่อสู้ที่จะมาถึง

Story Background

เอลฟ์ทุกคนในสมัยนี้ไม่สงสัยเลยว่านักบวชหญิงชั้นสูงมิสเตเซีย เป็นผู้ใช้เวทมนตร์ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มและเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขา มิสเตเซีย อุทิศชีวิตของเธอให้กับเหล่าเอลฟ์และทุกเชื้อชาติของออเรลิกาอย่างเท่าเทียมกัน ด้วยพลังเวทมนตร์อันมหัศจรรย์ ความเมตตา ความเห็นอกเห็นใจ และความสามารถพิเศษของเธอ เธอถวายตนรับใช้มาหลายปีในฐานะผู้พิทักษ์เวทย์แห่งเบื้องลึกของจอมเวทย์เอลฟ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและได้ช่วยนำทางผู้คนของตนฝ่าฟันช่วงเวลาที่ยากลำบากมากมาย

มิธเทเซียถูกตีตราไว้ตั้งแต่กำเนิดโดยเทพธิดาผู้พิทักษ์แห่งเอลฟ์ตามตำนาน ซึ่งเป็นการเจิมเครื่องวงหมายไว้ที่หน้าผากของเธอ เครื่องหมายดังกล่าวนั้นถือเป็นตัวแทนของต้นไม้วิญญาณ อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์แห่งการให้พรจากเทพธิดาแก่ตัวเธอ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลนี้หรือไม่ก็ตาม มิสเตเซียมักจะชอบเดินทางไปยังแหล่งเวทมนตร์ธรรมชาติมากกว่าใคร ๆ เสมอ เช่นเดียวกับทักษะที่หายากในการสื่อสารและการสั่งการพืชและสิ่งมีชีวิตในป่า

พวกเอลฟ์นั้นเคยเผชิญกับความทุกข์ทรมานอันน่าสยดสยองในระหว่างการสู้รบอันยาวนานกับอสูรความมืด ซึ่งจบลงด้วยชนะของเอลฟ์เหนือกองกำลังแห่งความมืดที่ศึกแห่งภูเขาฟีนิกซ์ บ้านเกิดของพวกเขาถูกทำลาย เวอร์จิล “ราชาฟีนิกซ์” เหล่าภูติพรายและที่ปรึกษาที่ใกล้ชิดที่สุดของเขาอย่างมิสเตเซีย ตัดสินใจอพยพไปทางทิศตะวันออกไปยังป่าซิลแวน เจ้านายคนใหม่ของป่าต้องตัดสินใจทันทีว่าจะทำอย่างไรกับผู้อยู่อาศัยในป่าและเผ่าพันธุ์ผู้ลี้ภัยอื่น ๆ จากสงครามต่อต้านความมืด รวมถึงสัตว์ร้ายจำนวนมากที่ต้องเผชิญกับการต่อสู้ของพวกเขาเอง การตัดสินใจทิ้งอีสต์ซิลแวนให้กับพวกสัตว์อสูร ซึ่งกลายเป็นที่รู้จักในนาม “ป่าเลือดอสูร ” เพื่อให้มีการตกลงที่จะช่วยปกป้องป่าจากการรุกรานจากความมืดที่คุกคามมาอย่างไม่มีวันสิ้นสุด ในขณะที่พวกเอลฟ์เองก็จะตั้งรกรากอยู่ในป่าซิลแวนตะวันตก ซึ่งในไม่ช้าก็กลายเป็นที่รู้จักในนามว่า “ป่านางไม้” ปัญหาเริ่มต้นขึ้นเกือบจะในทันทีหลังจากนั้น เมื่อผู้รับใช้แห่งความมืดได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความไม่ลงรอยกันในหมู่สัตว์อสูรใหม่ที่เข้ามา ในที่สุดก็ทำให้หลาย ๆ คนกลายเป็นอมนุษย์ที่บิดเบี้ยว – ที่เรียกว่า “สัตว์อสูรแห่งความโกลาหล” มิสเตเซียได้ตัดสินใจที่จะเสี่ยงชีวิตของเหล่าพรายเพื่อป้องกันไม่ให้เหล่าอสูรความมืดเข้ามาตั้งหลักในป่าเลือดอสูรที่อยู่ใกล้เคียง แต่พวกเอลฟ์กลับถูกยืดเยื้ออย่างหนักจากการรุกรานของดาร์กเอลฟ์ระลอกที่สอง ในที่สุดผู้พิทักษ์นางไม้ก็ได้รับชัยชนะ แต่ความขัดแย้งได้ส่งผลกระทบต่อเวอร์จิล ราชาฟินิกซ์ผู้ซึ่งตกอยู่ในห้วงนิทราในแท่นบูชาแสงดาว ความเป็นผู้นำของเอลฟ์นั้นจึงได้ส่งต่อไปยังนักบวชหญิงชั้นสูงมิสเตเซีย ซึ่งตอนนี้มีหน้าที่สองประการของหัวหน้าจอมเวทย์และหัวหน้าเอลฟ์

มิสเตเซียได้ใช้ความรู้ของเธอเกี่ยวกับเวทมนตร์ลึกลับเพื่อสร้างอาร์ติแฟกต์อันยิ่งใหญ่ในซิลแวนตะวันออกอย่าง “มูนเวล” โดยมีวารีรักษาในป่าสำหรับการทำสงครามกับความมืดอันยาวนาน ซึ่งทำให้ชื่อสามัญของซิลแวนตะวันออก ซึ่งในปัจจุบันคือ “ป่าแห่งนางไม้” ประชากรเอลฟ์ซึ่งถูกทำลายล้างโดยสงครามต่อต้านความมืดและความสูญเสียอันน่าสยดสยองที่ ศึกบนยอดเขาฟีนิกซ์ เริ่มฟื้นตัวท่ามกลางความเจริญรุ่งเรืองและความสงบสุขที่ยาวนานที่สุดที่ผู้คนของพวกเขายังรู้จัก เอลฟ์ที่อายุน้อยกว่ารู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวที่พ่อแม่ของพวกเขาเคยต่อสู้ดิ้นรนในตอนนี้มากกว่าหนึ่งพันปีในอดีต ในขณะที่มิสเตเซียตรวจสอบถึงความเป็นอยู่ของเอลฟ์ที่รุ่งเรืองถึงขีดสุด อันทินูอาน้องชายของเธอนั้นยังได้เป็นผู้นำคนสำคัญด้วย เธอไม่สามารถสั่นคลอนถึงความรู้สึกได้ว่า เวลานั้นกำลังจะมาถึงเมื่อผู้คนของเธอจะต้องอัญเชิญราชาฟีนิกซ์ของพวกตนกลับอีกครั้งจากแท่นบูชา

Story Background

เหล่าเอลฟ์มารวมตัวกันท่ามกลางแสงแวมวับและเสียงคำรามลั่นจากแท่นบูชาแสงดาวที่อยู่ในป่าซิลวาล ประตูอันยิ่งใหญ่เปิดออกพร้อมกับเสียงอื้ออึงของผู้ที่มาชุมนุมเมื่อพวกเขาเห็น เวอร์จิล กษัตริย์ที่พวกเขาเทิดทูน กายหยาบของเวอร์จิลอาจถูกทำลายโดยผู้บุกรุกเมื่อหลายศตวรรษก่อน แต่วิญญาณของเขาได้ถูกสะกดอยู่ในภาวะหลับไหลภายใต้แท่นบูชาโดยนักบวชหญิงชั้นสูง คำอธิษฐานวิงวอนของเหล่าเอลฟ์ตลอดหลายปีได้ปลุกให้เขาตื่นขึ้นอีกครั้ง ดวงดาวแห่งราตรีค่อยๆ ลอยไปที่แท่นบูชา พลังของมันทำให้ทั่วทั้งพื้นที่สว่างไสวและชุดเกราะใหม่เอี่ยมก็ได้ปรากฏขึ้นรอบๆ แท่นบูชาที่บรรจุวิญญาณอันหลับไหลของเวอร์จิล ร่างของเขาค่อยๆ ตื่นขึ้นภายใต้ชุดเกราะด้วยพลังวิเศษ “ขอขอบคุณดวงดาวที่ช่วยปกป้องราชาอันชอบธรรมของเรา!” เหล่าเอลฟ์ร้องสรรเสริญเมื่อกษัตริย์ของพวกเขาได้ขึ้นครองบัลลังก์อีกครั้งพร้อมกับปีกแห่งแสงที่เปล่งประกาย เวอร์จิลได้ประกาศกร้าว “ใครก็ตามที่กล้าบุกรุกป่าซิลวานและโจมตีเหล่าเอลฟ์จะต้องถูกทำลายสิ้น!”

Story Background

แม้ธอร์ แม่ทัพแห่งเผ่าหมาป่าและกลุ่มมนุษย์หมาป่าจะแข็งแกร่งมากมายเพียงใดก็ตาม แต่เขาเป็นผู้นำนักรบสันโดษที่ไม่ประสงค์ที่จะยุ่งวุ่นวายกับเผ่าพันธุ์อื่น เว้นเสียแต่ว่าเรื่องนั้นจะลดทอนเกียรติยศและศักดิ์ศรีของเผ่าหมาป่า ยามต้องรบหรือเมื่อถูกกระตุ้นด้วยสถานการณ์บางอย่าง (เช่น ค่ำคืนพระจันทร์เต็มดวง) ธอร์ก็เหมือนกับเพื่อนมนุษย์หมาป่าคนอื่นของเขาที่มีสัญชาตญาณที่ดุดันและพร้อมต่อสู้ด้วยความแข็งแกร่งเหนือธรรมชาติของเขา แม้ว่าจะต้องปะทะกับผู้มีอำนาจมากกว่าก็ตาม “พละกำลัง” และความแข็งแกร่งของร่างกายของเหล่ามนุษย์หมาป่านี้เป็นของขวัญที่ส่งทอดต่อกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ซึ่งเป็นเครื่องหมายแห่งเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ โวลก้า ลุงของธอร์เคยเป็นหัวหน้าเผ่าของทั้งสี่ชนเผ่า โวลก้าเตรียมการสืบทอดตำแหน่งต่อให้ธอร์ เขาตั้งความหวังไว้สูงเพราะธอร์มีสัดส่วนรูปร่างที่สูงใหญ่กว่าพี่น้องคนอื่นในชนเผ่าและยิ่งเห็นได้ชัดในการต่อสู้ แน่นอนว่าพฤติกรรมที่ “ไม่เหมือนหมาป่า” ของเขา อย่างเช่น การเดินเล่นคนเดียว หรือการว่ายน้ำผ่านป่า ทะเลสาบ และภายใต้แสงจันทร์ที่อาจทำให้หมาป่าที่ด้อยความสามารถกว่าดูน่าสงสัยถูกมองข้ามไปทันที น่าแปลกที่ธอร์มีความคิดสองจิตสองใจเกี่ยวกับตำแหน่งการเป็นหัวหน้าชนเผ่าและสายเลือดมนุษย์หมาป่าของเขา ในขณะที่สถานะนี้เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจของคนอื่น แต่สำหรับตัวธอร์เอง เขากลับมองมันด้วยความหวาดกลัว หรือแม้กระทั่งขยะแขยงในบางครั้ง อารมณ์โกรธเกรี้ยวและความแข็งแกร่งเหนือธรรมชาติที่ธอร์มีมาแต่กำเนิดและส่งผลให้เขาเป็นดั่งผู้นำและผู้ทำลายล้างในกลุ่มเด็กด้วยกันในสมัยนั้นสร้างความหวาดกลัวให้ธอร์ว่าหากสัญชาตญาณความกระหายเลือดของเขาเข้าครอบงำเมื่อไร เขาอาจสูญเสียการควบคุมและพลาดทำอะไรลงไป ด้วยเหตุนี้ ธอร์จึงสร้างภาพลักษณ์ภายนอกของการเป็นหัวหน้าเผ่าให้แตกต่างจากความรู้สึกในบางครั้งของเขา

Story Background

ริกวัยเยาว์เลือกที่จะไม่หมกมุ่นอยู่กับอคติเหมือนอย่างที่เพื่อนมนุษย์หนูแห่งป่าซัลวานของเขาเป็น มันเป็นแรงกระตุ้นอันทรงพลังให้ริกเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ ซึ่งเป็นวิธีที่ชัดเจนที่สุดในการพิสูจน์ว่าเขาเหมาะกับการดูแลคนของเขา ริกล้มเหลวในการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้กับสุดยอดนักรบ แต่เขาประสบความสำเร็จในการเรียนรู้ศิลปะการเป็นนักฆ่าเหนือกว่าเหล่าอสูรทั้งปวง ด้วยความสามารถนี้ บางทีตอนนี้มนุษย์หนูอาจมีปากเสียงในการเมืองในป่ามากขึ้นก็เป็นได้ สิ่งที่ริกขาดไปทั้งความแข็งแกร่งและกล้ามเนื้อเมื่อเทียบกับสุดยอดนักสู้ของเผ่าพันธุ์อื่น เช่น ธอร์ เขาได้ชดเชยมันด้วยความว่องไว เล่ห์เหลี่ยม ความเร็ว และไหวพริบ ริกได้เรียนรู้วิธีการควบคุมความเร็วของเงาและมีดจากความมืด ซึ่งเขาได้ใช้ทักษะนี้พิชิตศัตรูมากมาย ทั้งศัตรูส่วนตัวและศัตรูของเผ่า แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ริกก็ยังตระหนักถึงความต้องการการปกป้องที่มากขึ้น ข่าวลือเรื่องอาร์ติแฟกต์อันยิ่งใหญ่ที่คนแคระแห่งไททันไอซ์แลนด์ สร้างขึ้นได้ดึงดูดความสนใจของเขา และตอนนี้เขากำลังมุ่งหน้าสู่การผจญภัยสุดยิ่งใหญ่ครั้งล่าสุดของเขา…

Story Background

แบรนด์ ฟอร์กการ์ด คือราชาแห่งหินเหนืออาณาจักรแห่งขุนเขา ซึ่งแต่งตั้งโดยสภาคนแคระ รับผิดชอบดูแลปกป้องไททันไอซ์แลนด์และเผ่าพันธุ์คนแคระ และอยู่ในสายของการสืบราชสันตติวงศ์ของราชาที่น่าเคารพนับถือ แบรนด์ยังประสบความสำเร็จในการนำทางประชาชนของเขาผ่านวิกฤตร้ายแรงเมื่อ 100 ปีที่แล้ว ซึ่งได้เสริมความแข็งแกร่งให้กับความเชื่อของเขาในสิทธิของกษัตริย์ที่ไททันมอบให้ในการปกครองด้วยอำนาจเบ็ดเสร็จเพื่อประโยชน์ที่ดียิ่งกว่า แม้ว่าวิธีการปกครองไร้ซึ่งความยืดหยุ่นนี้ยังไม่ได้พิสูจน์ แต่ก็ได้รับความนิยมจากคนบางกลุ่ม
โดยเฉพาะฮัสเซลหัวหน้าผู้อาวุโสของตระกูลโมลเทน ตระกูลฟอร์กการ์ดได้ผลิตนักรบที่เก่งกาจของอาณาจักรภูเขามามากมายตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา
ตั้งแต่อิเนราส ฟอร์กการ์ด ที่ทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกันส่วนตัวให้กับ จอร์จ โมลเตนไฟร์ ราชาแห่งหินคนแรก

ซึ่งถึงแม้ว่าแบรนด์จะอายุมากว่าหลายศตวรรษแล้วก็ตาม แบรนด์เองก็เป็นนักรบคนแคระที่มีความสามารถอย่างยิ่งยวดตั้งใจที่จะเป็นแบบอย่าง ในตัวเขาเองอุดมคติการต่อสู้ที่เข้มงวดแบบเดียวกับที่ทหารของเขาต้องการ หรืออย่างที่เขามักจะพูดว่า “พลังไม่ได้มาจากปาก แต่มาจากคมขวาน” ภาระหน้าที่วางอยู่บนหัวของแบรนด์อย่างหนักดั่งเช่นมงกุฎของเขา และบางครั้งเขาก็อดไม่ได้ที่จะไตร่ตรองถึงวันเวลาในวัยหนุ่มของเขาและค่ำคืนที่สนุกสนานในโรงเตี๊ยมภายใต้หิมะ ทว่าความจริงอันโหดร้ายต้องส่งเขาและความสุขออกไปยังนอกอาณาจักรแห่งวัยเยาว์อันเงียบสงบ…

ไคซัส